ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เกี่ยวกับบริษัทหมอเส็ง


เกี่ยวกับบริษัท

ด้วย ภูมิปัญญาและความสามารถทางการแพทย์แผนโบราณที่สืบทอดกันมานานหลายชั่วอายุคน นับร้อยๆปี ได้ถูกนำมาผสมผสานกับวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าสูงสุด และได้เผยแพร่ประโยชน์อเนกอนันต์นี้สู่สาธารณชน โดยผ่านกระบวนการทางการตลาดระบบเครือข่ายที่ทันสมัยและถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นรากฐานอันสำคัญนำไปสู่ความมั่นคงและมั่งคั่งของชีวิตผู้คนจำนวนมาก มาย

ด้วยเจตนารมณ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ จึงเป็นจุดกำเนิดก่อเกิดเป็นบริษัท ฉัตรสุริยะ(2002) จำกัด ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรไทย ตราหมอเส็ง ในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2545 และเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2545 ณ สำนักงานเลขที่ 703 ถนนวงศ์สว่าง แขวงบางซื่อ กทม. จากนั้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี ด้วยความเจริญเติบโตก้าวหน้าทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2546 จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ได้มาตรฐานสากล ณ อ.หนองแค จ.สระบุรี เพื่อเพิ่มศักยภาพทางด้านการผลิตยาสมุนไพรตราหมอเส็งให้ทันต่อความต้องการ ของผู้บริโภค

ต่อมาอีกเพียง 1 ปี บริษํทฯ ได้พัฒนาระบบโครงสร้างการดำเนินงานภายในใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจไปสู่ตลาดโลก พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อใหม่ ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมเป็น บริษัท แสงสุริยะฉัตร(2002) จำกัด และในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ได้ย้ายสำนักงานมาที่ อาคารหมอเส็ง เลขที่ 89/211 หมุ่ที่ 8 ถ.พหลโยธิน ต.คลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 15 ไร่ ด้วยเงินลงทุนมากกว่าพันล้านบาท เป็นอาณาจักรแห่งใหม่ ใหญ่กว่าเดิม สามารถที่จะรองรับการเติบโตของธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วทุก ภูมิภาคของประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้เป็น อย่างดี

ณ บัดนี้บริษัทฯ จึงมีความพร้อมที่จะมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนทั่วโลก และมอบโอกาสทางธุรกิจที่เหนือระดับให้กับบุคคลทั่วไปอย่างเท่าเทียมกันทุกคน



ประวัติคุณหมอเส็ง

ฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร แพทย์ที่ปรึกษาคลีนิคสุขภาพไตรเวชศาสตร์ด้านการแพทย์แผนตะวันออก หรือที่รู้จักกันดีในนาม “หมอเส็ง” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทยและจีน ด้วยวัยกว่า 70 ปี กับการคลุกคลีอยู่กับร้านขายยาแผนโบราณมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก หมอเส็งจึงได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนในการปรุงยาอย่างละเอียดและจดจำตัวยา สมุนไพรทุกชนิดได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการผลิตหรือการปรุงยาจากสมุนไพรไทยและจีน ซึ่งสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก ที่นับวันจะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่น้อยคนเต็มที เพราะนอกจากจะอาศัยความรู้ความชัดเจนในเรื่องสมุนไพรแล้ว ยังต้องมีประสบการณ์อันยาวนาน ซึ่งประสบการณ์ ความสามารถเหล่านี้ หมอเส็งใช้เวลาเรียนรู้สั่งสมมาจนแตกฉาน…

"บ้านเดิม ผมอยู่ที่บางคล้า แปดริ้ว เป็นร้านขายยาสมุนไพร รักษาโรคทั่วไป ทั้งก๋งและเตี่ย หรือเรียกว่าทั้งตระกูลผมเป็นหมอยา ซึ่งมีความชำนาญด้านสมุนไพรมาตลอด เตี่ยผมเป็นหมอมาจากเมืองจีน แกจะสอนผมให้รู้จักการใช้สมุนไพร ซึ่งการศึกษาแพทย์แผนโบราณนั้นยากมากต้องเรียนรู้ถึงสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละ ชนิด ถ้าจะใช้สมุนไพรรักษาโรคให้ถูกหลักและให้ออกฤทธิ์รักษาอย่างได้ผลต้องแตกฉาน สมุนไพรเพียงชนิดเดียวไม่สามารถรักษาได้ผล ต้องนำสมุนไพรแต่ละชนิดนำมาผสมผสานกันจึงจะออกฤทธิ์ในการรักษาอย่างได้ผล และจะต้องวินิจฉัยโรคของคนไข้ให้ดีเสียก่อนจึงจะปรุงยารักษาให้ซึ่งสิ่ง เหล่านี้ผมได้รับการเรียนรู้มาอย่างลึกซึ้ง"

กระ ทั่งได้แยกตัวออกมาเปิดร้านของตัวเองที่กรุงเทพฯ รักษาโรคทั่วไปเป็นหมอคู่กับเตี่ยมาตลอด จนเตี่ยอายุมากจึงวางมือให้หมอเส็งดำเนินการต่อไป เพราะเห็นว่าความรู้ความสามารถของหมอเส็งเป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจได้แล้ว หมอเส็งได้ไปสอบใบอนุญาต จากกระทรวงสาธารณสุขทั้งทางด้านเวชกรรมและเภสัชกรรม ซึ่งคนที่จะไปสอบได้ต้องมีความรู้ด้านสมุนไพรเป็นอย่างดี ไม่ใช่ใครก็ไปสอบได้ ซึ่งเมื่อสมัยนั้นร้านขายยาแผนโบราณยังมีไม่มากนัก ต่อเมื่อมียาแผนปัจจุบันเข้ามา หมอเส็งก็ขายยาแผนปัจจุบันควบคู่กันไปด้วย ทั้งขายทั้งเป็นหมอไปในตัว พอมาระยะหลังยาฝรั่งเริ่มมาแรง ผู้คนหันไปนิยมกันมากขึ้นด้วย เหตุเพราะกินง่ายและไม่มีกลิ่นฉุนเหมือนยาแผนโบราณ ขณะเดียวกันการแข่งขันของยาแผนปัจจุบันได้ขยายตัวสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว หมอเส็งจึงหันมาเน้นในเรื่องของสมุนไพรทั้งไทยและจีนตามที่ตัวเองถนัดมาก ขึ้น โดยเฉพาะการรักษาโรคเกี่ยวกับสตรี ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ เลือดลม หรืออาการทางสมองที่เรามักจะพบในคนสูงอายุ และล่าสุดที่ หมอเส็งได้เพียรพยายามศึกษามากกว่า 10 ปี นั่นก็คือมหัศจรรย์ แห่งสมุนไพรไทย ที่ชื่อ “ว่านชักมดลูก”

หมอเส็งเริ่ม ต้นการเป็นแพทย์แผนโบราณเมื่ออายุ 18 ปี กระทั่งปัจจุบันผ่านมาถึง 45 ปีแล้ว หมอเส็งได้เล่าถึงประสบการณ์ในการรักษาคนไข้ในสมัยแรกเริ่มว่า

“สมัย แรกที่เริ่มปรึกษาผมก็รักษาโรคพื้นๆ ก่อนพวกปวดหัวตัวร้อน ปวดข้อ ปวดกระดูก ใจสั่น เป็นลม คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นอะไรเพราะเขากินธรรมชาติ กินยาสมุนไพร และสมัยที่ผมอายุ 20 ย้อนหลังไป 40 กว่าปี คนสมัยนั้นไม่มีนะที่จะเป็นอะไรเพราะเขากินธรรมชาติ กินยาสมุนไพร และสมัยที่ผมอายุ 20 ย้อนหลังไป 40 กว่าปี คนสมัยนั้นไม่มีนะที่จะเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็งสมัยก่อนก็ไม่ค่อยเห็น ตามร้านขายยาสมุนไพรสมัยนั้นมียาอยู่กี่ตัวกัน มีแค่ยาเขียว ยาหมอ ยาแก้ไข้ ยามหาจักร ยากุมารอ้วนพี มีขายยาไม่กี่สิบตัว และสมุนไพรก็ใช้ที่เก็บจากป่า เดี๋ยวนี้ป่าหมดไปเยอะทำให้สมุนไพรไทยหายไป แต่ก่อนป่ามีทั่วไปในเมืองไทย มีป่าที่ไหนมีสมุนไพรที่นั่น ตามท้องนาใกล้บ้านก็มีสมุนไพรอยู่ สมัยก่อนคนที่ขายสมุนไพร เขาจะมีเรือไปเก็บสมุนไพรทางภาคเหนือและภาคใต้ หรือมีเรือไปรับซื้อ บางครั้งก็มีชาวบ้านเอาลงเรือ ลงรถไฟมาขายให้ก็มี และวิธีรักษาของผมในยุคนั้นก็ใช้แพทย์แผนไทยผสมจีน มีการ"แมะจับชีพจร”

“การแมะ” หรือการตรวจจับชีพจรเป็นอย่างไร หมอเส็งได้อธิบายให้ฟังว่า

“การ แมะนั้นจะเกี่ยวข้องกับการมี สมาธิ คนตรวจจะต้องมีสมาธิพอสมควร ถ้าคนที่แมะเก่งๆ หากตรวจหัวใจคนไข้ บางทีต้องควบคุมการเต้นของหัวใจตัวเองกับคนไข้ว่ามีจังหวะเดียวกันมั้ย เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิต้องมีบ้าง มาถึงจะไปจับส่งเดชไม่ได้นะครับ แล้วการจับชีพจรนี่ก็จับตรวจโรคได้บางอย่าง บางอย่างก็ตรวจไม่พบ ไม่ใช่ว่าจับชีพจรแล้วจะตรวจพบหมดนะครับ การตรวจจากชีพจรเนี่ยมันบอกถึงการเต้นของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด ความร้อนความเย็นในร่างกายมันจะบอกได้จากชีพจรทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นรหัสการเต้นของชีพจรก็คือรหัสของโรค เราต้องอ่านรหัสแปลเป็นโรค วิธีการจับก็อยู่ในบริเวณข้อมือซึ่งจะมีชีพจรอยู่ ซึ่งถ้าชำนาญจับเดี๋ยวเดียวก็รู้”

ความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคด้วยแพทย์แผนโบราณทั้งไทยและจีนของหมอเส็งเป็น ที่รู้จักกันมานาน หลายๆ คนเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายแต่พอมาหาหมอเส็งโรคนั้นกลับหายสนิทจนเป็น ที่มาขอการขนานนามหมอเส็งว่า “หมอเทวดา”

(หัวเราะ) "อย่าไปพูดอย่างนั้นเลยคือผมเป็นคนที่ถือหลักธรรมชาติเป็นหลักในชีวิต กับที่มาของชื่อนี้ก็คือเมื่อสมัยก่อนผมไปรักษาพระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง พอดีท่านป่วยหนักด้วยโรคหัวใจ ลูกศิษย์ท่านก็เชิญผมไปรักษาที่วัดป่าบ้านตาด ผมก็ตรวจและจัดยาถวายท่านจนหาย และท่านก็เรียกผมว่า...โยมหมอเทวดา” (หลวงพ่อที่หมอเส็งกล่าวถึงนั้นก็คือหลวงตามหาบัวนั่นเอง)

ระยะเวลาในการรักษาแต่ละโรคนานมั้ยคะ

“ส่วนมากที่นี่เราจะรับประกันได้ว่าจ่ายยาปุ๊บต้องได้ผล ผมจะจ่ายยาให้คนไข้ครั้งละ 10 วันถ้า 10 วันไปแล้วไม่ดีขึ้นคุณกลับมาเราจะเปลี่ยนยาให้โดยไม่เสียเงินเลยและถ้า เปลี่ยนแล้วยังไม่ได้ผลคุณเอาเงินคืนไปผมไม่รักษาต่อ คือการเป็นหมอเนี่ยเราจะรักษาโรคทุกอย่างไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามาแล้วเราจะรับรักษาหมดเราต้องรู้ว่าความสามารถเราอยู่ตรงไหน อย่างผมถนัดทางโรคหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง โรคภูมิแพ้ในเด็ก โรคของผู้หญิงเกี่ยวกับมดลูกอันนี้รับประกันว่าได้ผลแน่นอนเรารักษาได้ อย่างโรคหัวใจเรารับรักษาโดยใช้สมุนไพรหลายตัว ถ้าใครพูดว่ารักษาโรคหัวใจได้โดยใช้สมุนไพรตัวนั้นตัวนี้เพียงตัวเดียวรักษา ไม่ได้ผลหรอก สมุนไพรแต่ละตัวมีฤทธิ์จริงแต่ก็ต้องอาศัยสมุนไพรตัวนั้นตัวนี้เพียงตัว เดียวรักษาไม่ได้ผลหรอก สมุนไพรรักษาหัวใจก็มีพวกจันทน์ขาว จันทน์หอม เทียนทั้ง 5 ว่านน้ำฯลฯ มีเป็นตำรับเอามาต้มหรือบดเป็นผงกินก็ได้ซึ่งแต่ละคนจะมีวิธีใช้ไม่เหมือน กันเราต้องดูคนไข้ด้วย”

เคยใช้ “พลังจิต” มารักษาควบคู่กับสมุนไพรธรรมชาติมั้ยคะ ?

“ถาม ว่าเคยมั้ย เอาเป็นว่าถ้าใครที่มีพลังจิตอ่อนแอผมรักษาได้ ในเมื่อจิตเป็นพลังงาน เราก็เริ่มพลังงานให้เขาจนจิตแข็งแรง แล้วเขาก็จะต่อสู้เอง เขาจะเลิกกลัว เลิกวิตกกังวล คนเราชอบคิดว่าพลังจิตเป็นของพิสดาร ความจริงไม่ใช่ของพิสดารหรอกทุกคนก็มีจิตเป็นต้นกำเนิดของกำลังงาน ถ้าจิตเสียคือตื่นเต้นง่าย เครียด ห่อเหี่ยว ขี้กลัว ไม่มั่นใจในตัวเองก็จะทำให้กำลังเราลดลงไปทันที เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย หรือถ้าจิตอ่อนเวลาไปงานศพกลับมาก็มักจะไม่สบาย ตรงนี้มันสื่อถึงกันได้รับสิ่งไม่ดีกลับมาได้ง่าย”

สมัยนี้มีโรคแปลกๆ เกิดขึ้นมาเยอะจะมีวิธีอะไรที่จะป้องกันโรคได้คะ?

“มันยาก ทำยาก เพราะปัจจุบันนี้ทุกอย่างมันก้าวหน้าเกินไป สารเคมีเยอะไม่ว่าจะเป็นพืชผัก ผลไม้ ใช้เคมีตลอด ข้าวก็มีเคมีหรือแม้แต่สัตว์อย่างไก่ สมัยก่อนต้องเลี้ยงถึง 6 เดือน ถึงจะได้กินแต่เดี๋ยวนี้เลี้ยง 45 วันก็ได้กินแล้ว โรคแปลกๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้หลายโรคแพทย์แผนปัจจุบันยังหาวิธีรักษาไม่ได้เป็นเพราะ สิ่งแปลกปลอมในบรรยากาศคือมลพิษทางอากาศ สารเคมีจากพืช ผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ มีอยู่ทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นโรคก็คือคุณต้องรักษาร่างกายของ คุณให้สะอาด อย่าให้มีสารพิษคั่งค้างในตัว ซึ่งที่สถานพยาบาลของผมก็มียาที่กินเพื่อไม่ให้สารพิษคั่งค้างในตัว ยาตัวนี้มันจะดูดซึมสารพิษและระบายออกมานิดหน่อย”

ท้ายสุดหมอเส็งได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรไว้ว่า

“สมุนไพรไทยเนี่ยยอดเยี่ยมมาก อย่างว่านชักมดลูกเนี่ยก็คือสมุนไพรตัวหนึ่งเชื่อมั้ยว่าสามารถสร้างผู้หญิง ที่ไม่มีหน้าอกให้มีหน้าอกได้ หรือคนที่เสื่อมสภาพทางเพศพอกินตัวนี้อารมณ์ก็จะปรกติ มีข้อดีหลายอย่างเพียงแต่ว่าต้องผสมให้ถูกหลัก และขอบอกอย่างหนึ่งว่า การใช้ตัวยาสมุนไพรเนี่ย เช่นฟ้าทะลายโจรที่แก้ร้อนใน แก้ไข้หวัด เราจะอาศัยฟ้าทะลายโจรตัวเดียวรักษาทุกโรคไม่ได้ มันต้องมียาตัวอื่นแทรกเข้าไปด้วยจึงจะออกฤทธิ์ได้ดี และใครบอกว่ายาสมุนไพรหายช้ายาแผนปัจจุบันหายเร็ว...ไม่จริงหรอก ยาที่ถูกโรคเท่านั้นที่จะทำให้หายเร็ว เพราะฉะนั้นชีวิตผู้เจ็บป่วยทุกคนมีหวังนะครับ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น