ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หลักการของเงินสี่ด้าน



หลักการของเงินสี่ด้าน



Mr. Robert T. Kiyosaki ผู้แต่งหนังสือพ่อรวยสอนลูก
ได้กล่าวเอาไว้ว่า ที่มาของเงินมีทั้งหมด 4 ทาง ตามที่แสดงดังภาพ
และคนที่สำเร็จก็คือ คนที่สามารถทำให้ตัวเองอยู่ด้านขวา
ที่มีระบบทำงานแทนได้


สองมหาเศรษฐีของ
สหรัฐอเมริกา ทางซ้ายมือ คือ Mr. Robert
Kiyosaki เศรษฐีระดับ 100 ล้านเหรียญดอลลาร์ และทางด้านขวามือ คือ Mr. Donald Trump รวยระดับ 10,000 ล้านเหรียญดอลลาร์
ได้ร่วมกันแต่งหนังสือ Why We Recommend Network
Marketing ซึ่งเนื้อหาในหนังสือจะกล่าวถึงว่า ทำไมทั้งสองท่านนี้
จึงได้แนะนำให้คนทั่วไป ที่คิดจะทำธุรกิจ ได้ทำ "ธุรกิจเครือข่าย"

งานประจำ
ไม่ทำให้ร่ำรวยได้ มีแต่หนี้ ถ้าต้องการความสำเร็จ ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ ธุรกิจมี 2 ประเภท

คือ รวยแต่หยุดทำไม่ได้ กับรวยแล้วพักได้โดยรายได้ไม่หยุด
1. กิจการใหญ่ (ซีพี , AIS)

2. เจ้าของแฟรนไชส์ (แมคโดนัลด์ , 7-11)

3. ธุรกิจเครือข่าย
- การตลาดเครือข่าย เป็นเสมือนโรงเรียนสอนนักธุรกิจ ที่ช่วยให้คุณย้ายฝั่งได้ง่าย ได้ผลและปลอดภัยที่สุด
- บริษัทเครือข่ายการตลาดที่ดีจะต้องมีระบบพัฒนาตัวคุณอย่างสมบูรณ์แบบ (โดยสอนให้คุณเป็นนักธุรกิจ เพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่สอนให้คุณเป็นเซลส์แมนหรือเพียงทำให้คุณมีรายได้ไปวันๆ บนความมั่นคงที่ไม่แน่นอน) คนที่รวยที่สุดในโลกล้วนแสวงหา การสร้างเครือข่าย ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังหางานทำ หากคุณมีความคิดสร้างสรรอันยิ่งใหญ่ หรือสินค้าอันดีเยี่ยมปานใดก็ตาม มีเพียงหนทางเดียวที่จะนำท่านสู่ความสำเร็จ คือ การใช้เครือข่ายการประชาสัมพันธ์ และเครือข่ายการ จัดจำหน่ายสินค้า เหล่านั้นสู่มือผู้บริโภคอย่างได้ผล.

ที่มา : daxin-leader.blogspot.com

ทำไมคุณ โรเบิร์ต คิโยซากิ ถึงแนะนำธุรกิจนี้?


คุณโรเบิร์ต คิโยซากิกับธุรกิจเครือข่าย

ทำไมคุณ โรเบิร์ต คิโยซากิ ถึงแนะนำธุรกิจนี้?
โอกาสที่ 1 : โอกาสในการเรียนรู้ธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณไม่ใช่เรื่องเงิน
” พวกเขามักจะเล่าถึงคนที่สามารถทำเงินได้ถึงหนึ่งแสนเหรียญต่อเดือน จากธุรกิจของเขาให้ฟังอย่างตื่นเต้น และผมก็ได้เคยพบกับคนเหล่านั้นจริง ๆ มาแล้วด้วย ผมจึงไม่มีความสงสัย ในศักยภาพของการสร้างรายได้มากมายจากธุรกิจเครือข่ายเลย

โอกาสที่ 2: โอกาสในการเปลี่ยนมาอยู่ด้านขวาของเงินสี่ด้าน แทนที่จะเป็นแค่เพียงเปลี่ยนงานคุณเคยได้ยินคนพูดประโยคต่อไปนี้บ่อยแค่ไหน
1. “ผมอยากจะหยุดทำงานเสียที” ผมอยากจะมีรายได้มากกว่านี้ แต่ผมก็ไม่อยากลาออกจากงานและเริ่มต้นใหม่อีก แล้วผมก็ไม่อยากกลับไปเรียนหนังสือเพื่อศึกษาวิชาชีพใหม่ ๆ อีก” ผมทำงานหนักมากแต่เจ้าของบริษัทรวยอยู่คนเดียว” ฉันกลัวว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะทำให้ฉันเป็นคนล้าสมัยไปเสียแล้ว” ผมเรียนจบทันตแพทย์ แต่ผมก็เบื่อที่จะเป็นทันตแพทย์แล้ว”
2. “ฉันเบื่อแล้วกับการเปลี่ยนงาน”
3. “ทุกครั้งที่เงินเดือนขึ้น ภาษีก็ขึ้นตามทุกที”
4. “ผมทำงานหนักมาก แต่ผมก็ยังมีปัญหาเรื่องการเงินอยู่ผมคงต้องวางแผนเรื่องการเกษียณของผมใหม่”
5. “ฉันแก่เกินไป แล้วก็ไม่สามารถทำงานหนักเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว”
6. “ผมเพียงแต่ต้องการหาอะไรใหม่ ๆ ทำและได้มีโอกาสพบกับคนกลุ่มใหม่ ๆ บ้าง ผมเบื่อที่จะต้องทำงานกับคนที่ไม่มีความกระตือรือร้นและก็ไม่มีเป้าหมายใน ชีวิต ผมเบื่อที่จะต้องทำงานกับคนที่ทำงานไปวัน ๆ แบบเช้าชามเย็นชามและไม่อยากที่จะทำงานกับบริษัทที่จ่ายเงินให้กับเราเพียง แค่ทำให้เราพออยู่ได้เท่านั้น”

โอกาสที่ 3 : โอกาสที่จะเข้าสู่ด้าน B(เจ้าของกิจการ) ด้วยต้นทุนในการเริ่มต้นและการดำเนินการต่ำกว่า

โอกาส ที่ 4 : โอกาสที่จะไดลงทุนในธุรกิจประเภทเดียวกันกับที่คนรวยทำ นี่เป็นตัวอย่างของคำถามที่ผมพบนับครั้งไม่ถ้วน ผมรู้ว่าการลงทุนแบบนี้ก็พอมีอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจและรู้สึกแปลกใจก็คือ ทำไมคนจึงมองหาแต่การลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินทุนแบบนี้มากมายเหลือเกิน ในที่สุดผมก็ได้พบคำตอบว่า เหตุที่คนเหล่านี้มองหาการ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องใช้เงินดาวน์ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่มี อะไรเลยที่จะดาวน์นั่นเอง

โอกาสที่ 5 : โอกาสในการสร้างความฝันให้เป็นจริง พ่อรวยของผมเคยพูดว่า “มีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่มีความใฝ่ฝันอะไรเลย”
“ก็ เพราะว่าความฝันเป็นสิ่งที่มีต้นทุน” ท่านตอบ 17,000 ตารางฟุต ในโรงรถของเขาก็มีรถจอดอยู่ถึง 8 คัน และหนึ่ง “ง่ายมาก ผมบริจาคเงินสร้างโรงเรียนประชาบาล สร้างห้องสมุด ทางการก็เลยตั้งชื่อถนนให้เป็นเกียรติกับผม” คำตอบนั้นเองทำให้ผมรู้ว่าความฝันของเขานั้นใหญ่กว่าของผมมาก ผมยังไม่

จุดประกายความใฝ่ฝัน
คิม ภรรยาของผมและตัวผมเอง ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสังสรรค์ที่ผู้นำระดับสูงในธุรกิจเครือข่ายท่าน หนึ่งจัดขึ้นที่คฤหาสน์ของเขาซึ้งมีพื้นทีถึง ในนั้นก็เป็นรถลิมูซีน นอกจากนี้ในโรงรถของเขาก็ยังมีบรรดาของเล่นของเขาเก็บอยู่ด้วย ตัวบ้านและของเล่น ของเขาเป็นสิ่งที่ประทับใจผมที่เดียว แต่สิ่งที่ประทับใจผมมากที่สุดก็คือ ชื่อถนนที่บ้านเขาตั้งอยู่เป็นชื่อถนนโดย ใช้ชื่อสกุลของเขา เขาตอบว่า เคยมีความฝันที่จะมีชื่อสกุลของผมเป็นชื่อถนน หรือบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียน สร้างห้องสมุดแบบนี้เลย เมื่อ กลับจากบ้านของเขาในคืนวันนั้น ผมตระหนักดีว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องเพิ่มขนาดความฝันของผมสักที

โอกาสที่ 6 : คุณค่าของธุรกิจเครือข่ายวัดด้วยอะไร
“มี ใครที่ซื้อเครื่องนี้ไปแล้วบ้าง ? พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ถึงคุณมีเครื่องแฟกซ์แต่ถ้าคนอื่นเขาไม่มีกัน ก็ไม่มีความหมายอะไร กล่าวคือคือเราจะต้องมีเครือข่ายของเครื่องแฟกซ์ แต่หลังจาก 10 ปีผ่านไป วันนี้มีผู้คนใช้เครื่องแฟกซ์ก็มีมากขึ้น กิจการทุกแห่งจะต้องมีเครื่องแฟกซ์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง คุณค่าของเครื่องแฟกซ์ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเครื่องแฟกซ์ เกิดโยงใยกลายเป็นเครื่องข่ายขึ้นมา และการขายก็คำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

โอกาสที่ 7 : คุณค่าที่คุณประเมินตัวเองจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่คุณเป็นได้อย่างไร
“ก็เพราะว่าคุณค่าที่เราประเมินตัวเองจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่คุณเป็น"

โอกาสที่ 8 : โอกาสในการพัฒนาทักษะผู้นำของคุณ
1. การตกต่ำอาจจะไม่เกิดขึ้น ผมได้ออกแบบเกมกระแสเงินสดขึ้นสามเกมคือ เกมกระแสเงินสด 101,202 และ เกมกระแสเงินสดสำหรับเด็ก เกมทั้งสามนี้จะช่วยให้ผู้เล่นรู้วิธีการเริ่มต้นการวางแผนทางการเงินเหมือน กับที่พ่อรวยได้สอนผม
2. ได้รับความสนุกขณะที่เรียนรู้และอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความใฝ่ฝัน
3.เกมกระแสเงินสดจะช่วยกระชับความสัมพันธ์
4. เพื่อที่จะเปลี่ยนวิธีการคิดเกี่ยวกับเรื่องการเงินจากภายใน คำตอบของผมก็คือ “มีหลายวิธีด้วยกันที่เราจะหาพี่เลี้ยงให้กับตัวเองได้ สำหรับตัวผมเอง ผมมีพี่ ในปี 1974 เมื่อลาออกจากกองทัพเรือและสมัครเข้าทำงานกับบริษัทซีร็อกซ์ ผมตระหนักดี “ทำไมคุณค่าที่เราประเมินตัวเองจึงมีความสำคัญนัก?”
ผมเห็นว่าคำถามนี้ เป็นคำถามที่สำคัญผมจึงได้ให้เวลากับการตอบคำถามนี้มากหน่อย และหลังจากที่ ได้ใคร่ครวญสักครู่หนึ่งแล้วผมก็ตอบว่า ผมยังจำได้ดีสมัยที่ผมเป็นเด็ก เฝ้ามองพ่อจนของผมยืนพูดอยู่บนเวทีด้วยความมั่นใจและจริงใจเพื่อ กล่าวต้องรับบรรดาคุณครูที่เพิ่มได้รับการบรรจุเข้ามาอยุ่เขตการศึกษาของ ท่านในแต่ละปี ผมมีความรู้สึกภูมิใจ มากที่ได้เห็นว่าคุณครูทุกคนที่อยู่ในห้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ

และ หลายครั้งเช่นกัน ผมก็ได้มีโอกาสเฝ้าดูพ่อรวยของผมยืนพูดอยู่บนเวทีกับลูกจ้างนับร้อยในงาน เลี้ยงสังสรรค์ของบริษัทของท่านนอกจากนี้ผมก็บยังเคยมีโอกาสนั่งอยุ่หลัง ห้องประชุมในขณะที่พ่อรวยของผม กำลังกล่าวคำปราศรัยเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของธุรกิจของท่านต่อคณะกรรมการบริหารและบรรดา
พวกผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทของท่าน

เหตุ ที่ทำให้ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายยังคงเติบโตต่อไป อนาคตของธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายดูออกจะสดใสมากยิ่งขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในทุกวันนี้มีแนวโน้มที่จะช่วยผลักดันผู้คนให้เข้าสู่ธุรกิจ ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

1. ผู้คนต้องการที่จะมีอิสรภาพมากขึ้น
2. ผู้คนต้องการความร่ำรวยมากขึ้น
3. กองทุนเงินเกษียณอายุกำลังจะถูกยกเลิก
4. ผู้คนจะตระหนักมากขึ้น
5. โลกก็จะตื่นตัวขึ้น

จง ขอให้ผู้สปอนเซอร์สอนวิธีเล่นให้กับคุณ เกมกระแสเงินสด 101 และ 202 และบริษัทที่ดำเนินธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายหลายบริษัทก็ได้บรรจุเกมกระแส เงินสดนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการการอบรมของพวกเขา ด้วยเหตุผลที่ว่า
1. เกมกระแสเงินสดนี้จะสอนให้คนของเขารู้จักวิธีการหาเงินและรู้วิธีการดูและเงินของเขา
2. แผนงานในอนาคตระหว่างผู้เล่นเกมด้วยกัน
3. เล่นด้วยกัน
4. เพื่อที่จะได้ชี้นำให้คนใหม่ได้เห็นศักยภาพของธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย

พี่ เลี่ยงที่ดีที่สุดในโลกพร้อมอยู่แล้วที่จะให้คำแนะนำกับคุณ ผมมักจะถูกถามอยู่เสนอ ๆ ว่า “แล้วให้ผมได้?” เลี้ยงอยู่หลายคนด้วยกันและพี่เลี้ยงที่เยี่ยมที่สุดที่ผมได้พบก็คือ ห้องสมุดเทปของไนติงเกล-โคแนนต์” จำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะผู้นำแบบใหม่ ทั้ง ๆ ที่ทักษะผู้นำที่ผมได้เรียนรู้จากกองทัพเรือจะเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือ ประมาณก็ตาม แต่มันก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในโลกของการดำเนินธุรกิจ

ที่มา : หนังสือพ่อรวยสอนลูก ชุดโรงเรียนสอนธุรกิจ

ในธุรกิจเครือข่าย แท้จริงแล้ว เรากำลังขายอะไร?



ธุรกิจเครือข่้าย เรากำลังขายอะไร
ในธุรกิจเครือข่าย แท้จริงแล้ว เรากำลังขายอะไร?

นี่เป็นประเด็นสำคัญที่คุณจะต้องเข้าใจก่อนครับ และเพื่อที่จะตอบคำถามนี้ได้
ผมจึงขอยกตัวอย่างหนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่นำมาจากคำพูดของ Perry Marshall

"Nobody
who bought a drill actually wanted a drill. They wanted a hole. Therefore, if you want to sell drills, you should advertise information about making holes - Not information about drills!"

"ไม่ มีใครที่ซื้อดอกสว่านไป เพราะต้องการแค่ตัวดอกสว่าน แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาต้องการ "รู" ต่างหาก ฉะนั้น ถ้าคุณจะขายดอกสว่านของคุณ คุณควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเจาะรู - ไม่ใช่ข้อมูลของดอกสว่าน"

และจากตัวอย่างด้านบน ทำให้รู้ว่าทุกๆ คนต้องการหนทางแก้ปัญหาของเขา และ...
ใช่แล้วครับ สิ่งที่เราขายจริงๆ ก็คือ... "การแก้ปัญหา" (Solution
to their problem) ให้พวกเขาครับ บ่อยครั้งการไม่เข้าใจหรือลืมในประเด็นนี้
เป็นสาเหตุทำให้เราหลายๆ คนนั้น เน้นผิดจุดในเวลาที่คุยกับผู้มุ่งหวัง

เมื่อเปรียบเทียบภาพของระบบธุรกิจเครือข่ายที่เราคุ้นเคย พวกเรานั้นถูกเน้นย้ำ
ถุกสอนกันมาฝังหัวเสมอ ในระบบฝึกอบรมของบริษัท ว่าสินค้าของเรานั้นสุดยอดเพียงใด
บริษัทเจ๋งแค่ไหน แผนรายได้อลังการสุดๆ เท่าใด
แล้วเราก็ถูกบอกให้ออกไปประกาศข้อมูลความเจ๋งเหล่านี้

คุณ..ในฐานะนักธุรกิจเครือข่าย จึงถูกฝึกให้มีมุมมองแบบ inside-out
คือรับรู้ความดีเลิศต่างๆ เหล่านี้ แล้วนำไปบอกต่อผู้คน
ซึ่งคุณเองอาจคิดว่าผู้คนจะมองภาพความเจ๋งเหล่านี้เหมือนคุณ แต่แท้จริงแล้ว
สิ่งเหล่านี้ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ หรือไม่?

ความจริงที่ว่า การที่คุณถูกฝึกให้เข้าใจว่าเรื่องจุดเด่นของ บริษัท, สินค้า,
แผนรายได้ คือสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จของผู้มุ่งหวัง
(แม้คุณจะเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ว่าโอกาสทางธุรกิจของคุณนั้น มีจุดดีหลายอย่าง
ที่เป็นจุดเด่น เหนือคู่แข่ง ก็เถอะ) ก็เหมือนการยัดเยียดมุมมองของคุณ
(ในฐานะผู้ทำธุรกิจเครือข่าย) ให้กับผู้มุ่งหวัง ทั้งๆ
ที่พวกเขายังไม่อาจจะรู้ด้วยซ้ำว่า "... แล้วมันจะช่วยเขา พบความสำเร็จ
สู่อิสรภาพทางการเงินได้อย่างไร?"

แม้ว่าความคิดตื้นๆ เหล่านี้ ยังพอดึงดูดคนใหม่ๆ เข้าวงการได้บ้าง
แต่ถ้าคุณยังสอนพวกเขากับระบบงานเดิมๆ เช่นนี้ วันหนึ่งพวกเขาจะคิดกับตัวเองครับว่า
"พอกันทีกับเรื่องพวกนี้ (The What - อะไร) แต่พวกเขาต้องการ (The How -
อย่างไร) แทนครับ"

ใช่แล้วครับ แม้ลึกๆ แล้ว สิ่งที่เราอยากจะขายคือ สินค้า
หรือโอกาสทางธุรกิจเครือข่ายของเรา แต่เราควรทำแบบนี้หรือ?
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้มุ่งหวังของเราอยากได้ยิน (ใจจะขาด) จริงๆ หรือ?
ไม่ใช่แน่ๆ ครับ เพราะสิ่งเหล่านี้คือ (The What)

ผู้มุ่งหวัง ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นหรือรอโอกาสมาเป็นนักธุรกิจเครือข่ายของ
Amway, Nuskin, Herbalife, etc.... พวกเขาไม่ได้มีความฝันตั้งแต่เล็กๆ
หรือตื่นมาตอนเช้าบอกกับตัวเองว่า "แม่ครับ... โตขึ้นผมจะเป็นนักธุรกิจ Amway" หรือ
"เอาล่ะ วันนี้ผมอยากเป็นนักธุรกิจ Nuskin"

แท้จริงพวกเขาต้องการ ทำเงินสร้างรายได้
ไม่อยากให้เวลาค่อนชีวิตถูกจำกัด กับการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น
เพื่อแลกกับค่าจ้างเพียงเพื่อยังชีพ หรือแค่เพียงเดือนชนเดือน
และยังอยากจะมีอิสรภาพทางการเงินในชีวิต เพื่อได้ใช้ชีวิตอย่างที่ฝันครับ

นี่แหละครับ คือปัญหาของพวกเขา!
และเรากำลังอยู่ในธุรกิจที่แก้ปัญหาเหล่านี้ให้พวกเขาครับ นั่นคือการที่เราขาย
Solution to their Problems (วิธีแก้ปัญหา)
ครับ

ธุรกิจเครือข่ายมีอยู่มากมาย ล้วนมีจุดเด่นด้วยกันทั้งสิ้น

แต่โอกาสทางธุรกิจเครือข่ายของคุณ มันเป็นแค่ โปรแกรมทำเงินอันหนึ่ง
หรือเส้นทางหนึ่งเท่านั้นเอง (The What) ในการนำไปสู่ปลายทาง ซึ่งแท้จริงแล้ว บางที
คนส่วนใหญ่ไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าจะใช้เส้นทางไหน
ตราบเท่าที่ไปถึงฝั่งฝันและไม่ผิดจริยธรรมก็พอ

นั่นทำให้ผมคิดว่า การชักชวนคนให้เข้าร่วมธุรกิจกับคุณ ด้วยประโยคเหล่านี้ มันอาจจะได้ผลไม่ดีเท่าใดนัก

"บริษัทของเราก่อตั้งมานานกว่า 20 ปี"
"บริษัทของเรามีความมั่นคงทางการนเงินสูง ปลอดหนี้สิน"
"บริษัทของเราเติบโต เท่านี้ เท่านั้น เปอร์เซ็นต์ และอยู่ในตลาดหุ้น"
"ผลิตภัณฑ์จากบริษัทของเราสุดยอด แทบไร้คู่แข่ง"
"บริษัทเรามีแผนจ่ายนผลตอบแทนที่ดีที่สุด"
"บริษัทเราเพิ่งเปิดตัวใหม่ กำลังมาแรง รีบมาเป็นต้นสาย ก่อนพลาดโอกาส"

ถ้าคุณเป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมธุรกิจเพียงเพราะประโยคเหล่านี้
โปรดอย่าลืมข้อเท็จจริงข้อหนึ่งนะครับว่า มีธุรกิจเครือข่ายใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย
ต่างก็มีสินค้าที่โดดเด่นเป็นพระเอก น่าสนใจ
และล้วนมีแผนรายได้ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้มีใหม่และเกิดขึ้นทุกวันครับ
แล้วคุณจะต้องคอยเปลี่ยนไปร่วมธุรกิจใหม่ๆ เหล่านั้นหรือครับ??

ก่อนอื่น อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะครับ ว่าผมเป็นคนประเภทไม่แคร์ความดีเลิศต่างๆ
นานา ในการพิจารณาการเข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายใดๆ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ที่คุณจะต้องเลือกในสิ่งที่คุณเชื่อมั่นให้มากที่สุด
และจงพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ด้วยเหตุผลทางธุรกิจครับ แต่โปรดเชื่อเถอะครับ
ว่าอย่ายึดติดกับมันจนกลายเป็นปัจจัยหลักในการเอามาชักชวนคนใหม่ๆ ครับ

คุณลองคิดดูนะครับ ว่ามีกี่บริษัทเครือข่าย ที่ขายอาหารเสริมสุขภาพ
พวกวิตามินหรือพวกอาหารเสริมลดน้ำหนัก? แน่นอนครับ มีเป็นสิบเป็นร้อยแห่ง
จริงมั้ยครับ แล้วทำไมสินค้าคู่แข่งเยอะขนาดนี้
แต่ก็ยังมีผู้ที่ประสบความสำเร็จขั้นสูงในแต่ละแห่งได้ แท้จริงแล้ว
ไม่ใช่พวกวิตามิน หรืออาหารเสริมเหล่านั้นหรอกครับ
ที่ทำให้คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ มันอยู่ตรงที่.....

1. พวกเขารู้วิธีทำการตลาด
2. พวกเขาสร้างภาพพจน์ตัวเองเป็น "ผู้นำ" ที่ผู้คนเชื่อมั่น และเข้าร่วมธุรกิจด้วย
ไม่ใช่เพราะสุดยอดวิตามิน หรือบริษัท หรือแผนรายได้อลังการอะไรนั่น
3. หรือ.. พวกเขามีทั้งสองอย่างดังกล่าวข้างต้น

โปรดอย่าลืมนะครับ ในธุรกิจเครือข่าย "ธุรกิจของคุณก็คือตัวคุณ"

พวกที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ เรียนรู้การตลาดและวิธีสร้างภาพพจน์ความเป็นผู้นำ
ฉะนั้น ไม่สำคัญเลยว่าพวกเขาจะขาย วิตามิน อาหารเสริม น้ำผลไม้ หรืออะไรก็ตาม

อย่าให้ความสำคัญกับการเน้นขายสินค้า มากไปกว่าสิ่งที่คุณควรทำ คือ
ขายตัวคุณเองก่อน
Remember again... "YOU" are your business!"

ผู้คนไม่ได้เข้าร่วมกับบริษัท แต่เข้าร่วมกับคนซึ่งนำเขาเข้าสู่ธุรกิจ ซึ่งก็คือ "คุณ"

หลายครั้งที่คนเราไม่เข้าร่วมธุรกิจกับใครบางคน ทั้งๆ
ที่เหตุผลแวดล้อมทุกอย่างดู Perfect ซึ่งอาจเป็นเพียงเพราะเขาไม่รู้สึก "คลิก"
หรือถูกชะตากับคนคนนั้น อีกทั้งการเน้นโปรโมทแต่เรื่อง บริษัท, สินค้า,
หรือแผนรายได้ ซึ่งมันทำให้คุณต้องไปแข่งกับคนในเครือข่ายอื่นมากมาย

การจะร่ำรวยในธุรกิจเครือข่ายนั้น คือ ณ.เวลาที่คุณเลิกเน้นขายสินค้า
แล้วหันมาเน้นขายตัวคุณ ด้วยการสร้างภาพพจน์ตัวคุณ
เป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้วิธีแก้ปัญหาให้ผู้คน สู่อิสรภาพทางการเงิน ด้วยวิธีนี้
บางทีคุณอาจจะเห็นบางอย่าง ในการสร้างธุรกิจของคุณให้ง่ายขึ้นครับ

ที่มา : http://www.freedomfamily.ws/what-are-we-selling

การตลาดแบบ MLM คืออะไร








การตลาดแบบ MLM คืออะไร

MLM คืออะไรหรือ? ที่จริงแล้ว MLM ย่อมาจากคำว่า Multi Level Marketing การ ตลาดแบบหลายชั้น เรามาเรียกว่าธุรกิจเครือข่ายดีกว่านะ ปัจจุบันนี้เจ้าของธุรกิจหลายๆรายได้นำธุรกิจของตัวเองเข้าสู่ระบบเครือข่าย มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันมีข้อดีคือ ลดภาระค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ พ่อค้าคนกลาง ค่าขนส่งฯลฯ เมื่อภาระต่างๆเหล่านี้น้อยลง เจ้าของธุรกิจก็จะได้มีเวลามาพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการมากขึ้น มีบริษัทที่จดทะเบียนเข้าระบบเครือข่ายนับเป็นหมื่นๆบริษัทในอเมริกา อีกสองหมื่นกว่าบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน ส่วนในไทยก็ประมาณ 400-500 บริษัท เช่น A-Smart ของตระกูลอัศวโภคิน, โสมเกาหลีตังกุยจับ, FreshMart, Uniliver, Loxley, บริษัทยาและอาหารเสริมต่างๆ รวมทั้งข่าวที่ว่าเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังของไทยก็จะโดดเข้าร่วมวงด้วยเช่นกัน

คุณเห็นความจริงและแนวโน้มของธุรกิจเครือข่าย รวมทั้งโอกาส

ของเราที่มีต่อแนวโน้มนี้ไหม



ธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่การรับจ้างทำงานหรือเป็นลูกจ้างของบริษัท

แต่มันคือธุรกิจของคุณเอง การบริหารงานอยู่ในมือคุณ

แล้วคราวนี้คุณจะจัดการกับธุรกิจของคุณอย่างไร

บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM


บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่มีความจริงใจกับลูกค้า และสอนทีมงานให้เป็น โดยควรจะมีมุมมองดังนี้
1. การแนะนำลูกค้า เราจะต้องคิดเหมือนลูกค้า ต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงความคุ้มค่าในการซื้อสินค้า กล่าวคือ สินค้าของธุรกิจใน MLM มักราคาแพงในเชิงของราคา แต่ในเชิงความคุ้มค่าแล้ว มักจะคุ้มค่ากว่าสินค้าทั่วไป หากผู้ขายไม่เคยทดลองใช้ ไม่เคยเก็บข้อมูลการใช้ด้วยตนเองแล้ว จะไม่มีวันทราบเลยว่า สินค้านั้นคุ้มค่ากับลูกค้าของเรา
2. สินค้าใดหากเราไม่เคยใช้ เราไม่มั่นใจ เราจะไม่นำเสนอ แต่หากลูกค้าสนใจเอง และตัดสินใจซื้อจาก catalog นั่นเป็นสิทธิของลูกค้า
3. เราต้องเน้นสินค้าที่เรามีความชำนาญและถ่ายทอดความรู้ของเราไปให้ทีมงานฟัง สอนให้ทีมงานสะสมความรู้ในสินค้า พิสูจน์ความคุ้มค่าของสินค้าให้กับทีมงาน เพื่อที่ทีมงานของเราจะได้แนะนำสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ



4. คัดสรรทีมงานที่จะเข้ามาในเครือข่ายของตนอย่างพิถีพิถัน เพราะหากเราไปหลอกเขามา เราจะเหนื่อยและเสียเวลาในการสอน สู้คัดบุคคลที่มีความเชื่อมั่นในธุรกิจ เชื่อมั่นว่าธุรกิจ นี้เป็นอนาคตของเขา จะดีกว่ามากเพราะเขาจะมุ่งมั่น ตั้งใจ และดูแลลูกค้าเขาเป็นอย่างดี ซึ่งผลที่ตามมาคือ องค์กรของเราก็จะเติบโตอย่างมั่นคง (โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ล้มเหลวในธุรกิจ MLM มักใจร้อน ใช้วิธีสุ่มคนให้เข้ามาเป็นจำนวนมากๆเข้าไว้ และสอนให้ใช้สินค้ามากๆ ซึ่ง Upline ก็หวังประโยชน์จากการใช้สินค้าของ Downline สุดท้าย Downline ขายไม่เป็น Downline ก็ตาย แล้วไม่นาน Upline ก็ตายตามไปด้วย)

5. ต้องสอนให้ทีมงานตกปลาเป็น หมายถึงต้องสอนให้ทีมงานดูแล เอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี แนะนำสินค้าที่ดีให้กับลูกค้า เมื่อชื่อเสียงเราดี ลูกค้าของเราก็จะขยายชื่อเสียงของเรา ให้เอง เราก็จะค่อยๆมีลูกค้ามากขึ้น นั่นก็หมายถึง รายได้เรามากขึ้นด้วย (แต่หากใครคิดว่าจะมีรายได้มากโดยใช้เวลาสั้นๆนั้น เข้าใจผิด!!! ส่วนใหญ่เป็นภาพลวงตา เพราะผู้ขายมักจะ ขายคนรอบข้างแบบไม่ค่อยเข้าใจสินค้า จึงทำให้เหมือนหลอกขาย ทั้งญาติ เพื่อนฝูง คนรู้จัก สุดท้ายก็จะเสียญาติ เพื่อนฝูงและคนรู้จักไปทั้งหมด นี่แหละสาเหตุของความล้มเหลวในธุรกิจ MLM ทั้งเสียชื่อ และชื่อเสียไปเลย)

6. เข้าฟังการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพราะการฟังผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยกระตุ้นให้เรามีความฮึกเหิมมากขึ้น แต่การฟังต้องฟังอย่างมีสติ วิธีการแต่ละอย่างนั้นดี แต่ต้องนำมาปรับ ใช้กับจริตของตัวเราเอง วิธีที่ดีอาจเหมาะสำหรับคนบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคน ต้องไม่โลภ อยากเลื่อนระดับเร็วๆ เพื่อหวังรายได้ที่มากขึ้น ถ้าขาดสติก็จะนำไปสู่ความคิดที่จะ หลอกขายสินค้า ตุนสินค้า ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ จะนำเราไปสู่ความเสื่อมขององค์กรเอง

7. ต้องใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนโต แต่ให้ทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะความใจร้อน มักสะท้อนความโลภ จนลืมหลักการของผู้แทนจำหน่ายที่ดี ซึ่งต้องจริงใจกับลูกค้า และนำเสนอสิ่งที่คุ้มค่ากับลูกค้าเท่านั้น

8. ไม่ท้อแท้ง่าย ต้องอดทน ทุกธุรกิจย่อมมีคนชอบและไม่ชอบทั้งนั้น หากมีคนไม่เข้าใจเรา ก็พยายามอธิบายให้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ได้เท่าไหนเอาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเครียดนะ จ้ะ เพราะความเครียดจะเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายอีกนานับประการ เมื่อเราอดทนและสามารถอยู่รอดได้ในธุรกิจนี้ เราก็จะมีลูกค้าเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง สาม สี่ ..... นั่นหมายถึงเราก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามตัว

9. ควรเริ่มทำตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เพราะว่าบุคคลหลายคนที่ต้องรีบร้อนโตเพราะตัวเองมีภาระมาก ต้องใช้เงินมาก จึงคิดหาวิธีที่จะหลอกระบบ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือวิธีที่ผิด เพราะลืม พื้นฐานของตัวเอง เพราะลืมไปว่ารายได้ของเรานั้นมาจากการสอนทีมงานให้ดูแลลูกค้าของพวกเขาเป็น และมาจากการดูแลลูกค้าของเราเอง หากไม่ทำสองสิ่งนี้ มามัวแต่จะหลอกระบบ สุดท้ายระบบก็ฆ่าเราเอง หากเราเริ่มตั้งแต่สมัยเรียน ภาระไม่มี ก็จะไม่รีบร้อน ค่อยๆทำธุรกิจของเราไป ค่อยๆโต เรียนจบมาก็สมัครทำงานตามปกติ ทำ MLM เป็น Part time จนรายได้มากพอ ค่อยออกมาทำเต็มตัว ไม่ต้องคอยมาทนนายบ่น นายว่าเช้าเย็น

10. ต้องทำด้วยความเสียสละและมีคุณธรรม การทำอย่างเสียสละคือการช่วยให้ทีมงานประสบความสำเร็จก่อน เราจึงจะประสบความสำเร็จ ต้องให้ทีมงานมากกว่าที่เขาสมควรได้รับ การ ช่วยเหลือต่างสายงานบางครั้งก็จำเป็นต้องทำ ด้วยความใจกว้าง ทำอย่างมีสติ จริงใจ ส่วนเรื่องคุณธรรมนั้นสำคัญอย่างยิ่ง อย่าลืมว่าเรากำลังอยู่ร่วมกับ คน เราจึงต้องไม่ริษยา ไม่นินทา ว่าร้ายผู้อื่น ไม่แย่งทีมงานคนอื่น ไม่โกง ไม่โกหก ไม่ก่อปัญหาชู้สาว ไม่เหยียบหัวทีมงานเพื่อขึ้นตำแหน่ง ไม่ลืมตัว บางคนเพียงแค่ประสบความสำเร็จในระดับปานกลางเท่านั้น ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หยิ่งทะนง ดูถูกคนอื่น คุยข่ม อวดตัว วางก้าม ฯลฯ



ขอเพียงเราทำอย่างจริงจัง ทำอย่างอดทน ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างมีคุณธรรม ศึกษาเรียนรู้สินค้าเพิ่มเติมตลอด เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งเราก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อย่า ลืมว่าธุรกิจ MLM นั้นเป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงก็ต่ำ ถ้าเราประพฤติตัวได้อย่างที่แนะนำทั้ง 10 ข้อ เราก็จะประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง

จงอย่าปิดโอกาสตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง และอย่าให้ใครดูถูกเรา(ถูกหลอก) เลือกองค์กรที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ผ่านการพิสูจน์มาแล้วสักระยะหนึ่ง องค์กรนั้นกำลังโต ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังสู่ขาลง เมื่อเลือกได้แล้วก็ ลุย...เต็มที่เลยครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ



หากท่านมีปัญหา ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น


Thongchanh Phonthachack


โทร. 856 020 55670662, 55673890