ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ต่อมไทรอยด์อักเสบ


ต่อมไทรอยด์อักเสบ

ต่อมไทรอยด์อักเสบ

แบ่งเป็นหลายชนิด ซึ่งมีสาเหตุ และอาการที่แตกต่างกัน ที่พบได้บ่อย เช่น

- ต่อมไทรอยด์อักเสบจากไวรัส เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีอยู่หลายชนิด (รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม) มักพบในคนอายุ 20-40 ปีและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
- ต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากออโตอิมมูน (Autoimmune thyroiditis/ Hashimoto's thyroiditis) เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อตัวเอง พบมากในผู้หญิงทุกวัย อาจมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย
- ต่อมไทรอยด์อักแสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบได้น้อยมากมักพบในผู้หญิงวัยกลางคน

อาการ

- ต่อมไทรอยด์อักเสบจากไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการเฉียบพลัน ด้วยอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก ต่อมไทรอยด์โตขึ้นเร็ว และกดเจ็บ อาจมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย อาการเจ็บที่คออาจร้าวไปที่หู ขากรรไกร แขน และหน้าอก อาการนี้อาจเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ และอาจมีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยร่วมด้วย ส่วนมากจะกลับเป็นปกติในที่สุด

- ต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากออโตอิมมูน มักจะมีอาการคอโต ซึ่งจะค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ มีลักษณะค่อนข้างแข็ง กดไม่เจ็บ ต่อมามักจะมีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยร่วมด้วย บางรายอาจเกิดการอักเสบของต่อมไทรอยด์หลังคลอดบุตร ซึ่งอาจมีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิดขึ้นชั่วคราวในช่วงแรก ต่อมาก็จะมีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยตามมา โรคนี้มักเป็นเรื้อรังการตรวจเลือดมักจะพบแอนติบอดีต่อต่อมไทรอยด์ (Anti-thyroid antibody) โรคนี้อาจพบร่วมกับโรคตับอักเสบเรื้อรัง, เอสแอลอี, โรคปวดข้อรูมาตอยด์, เบาหวาน, โรคแอดดิสัน ผมร่วงเป็นหย่อมไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น

- ต่อมไทรอยด์อักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ จะมีอาการคอโตเป็นก้อนแข็ง และติดแน่นกับเนื้อเยื่อโดยรอบ มักทำให้มีอาการเสียงแหบ กลืนลำบาก หายใจลำบาก มักมีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยร่วมด้วย และบางคนอาจมีภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานน้อยร่วมด้วย

ยาบำรุงร่างกายเบอร์2 ตราหมอเส็ง มีสารในกลุ่มโพลีแซคคาไรด์จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ขมิ้นชันแคปซูล ตราหมอเส็ง ช่วยในการขับสิ่งที่เป็นพิษภายในร่างกาย

เมื่อทานยาทั้งสองนี้ควบคู่กันสักระยะหนึ่ง จะสังเกตได้ว่าอาการเป็นพิษต่างๆ จะทุเลาลง อาจจะหายได้ในที่สุด

ใบหน้าเป็นฝ้า



ใบหน้าเป็นฝ้า


ฝ้าเป็น โรคผิวหนังที่พบบ่อยมาก มีลักษณะเป็นรอยหรือปื้นสีน้ำตาลออกดำขึ้นที่บริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้มท้งสองข้างและดั้งจมูกเป็นต้น บางรายอาจมีรอยดำที่หัวนม รักแร้ ขาหนีบ หรืออวัยวะเพศร่วมด้วย คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าฝ้าเกิดจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตในแสงแดดเพียงอย่าง เดียว จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายที่ทำให้ผิวหนังสร้าง เม็ดสีมากผิดปกตินั้น เป็นตัวการร่วมสำคัญแม้จะเลี่ยงแดดหรือทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าระดับฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้เกิดฝ้าได้อยู่ดี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงมีอยู่ หลายอย่าง เช่น

- การตั้งครรภ์
- การใช้ยาคุมกำเนิด
- การใช้ฮอร์โมนทดแทนหลังหมดประจำเดือน
- เป็นเนื้องอกที่รังไข่
- ความเครียดทางจิตใจ
- การใช้ชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหักโหม เป็นต้น
- การใช้ครีมทาหน้าที่ผสมฮอร์โมน

ว่านชักมดลูกเบอร์ 2 ชนิดแคปซูล (สมุนไพรหน้าขาว) เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรของหมอเส็งที่ช่วยปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำ ผิวดำที่เกิดจากฝ้าแดด ฝ้าลม ฝ้าเลือด ฝ้าที่เกิดจากยาคุมกำเนิดให้ขาวนวลขึ้น เนียนละเอียดขึ้น

ครีมสมุนไพรมุกทอง ตราหมอเส็ง สมุนไพรสีทองสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการกินยา เคล็ดลับอยู่ที่สมุนไพรว่านหางจระเข้+ตังกุย+ขมิ้นชัน+บัวบก+มะลิ สูตรลับเฉพาะของหมอเส็ง ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ช่วยดูปัญหากระ ฝ้า จุดด่างดำ ใบหน้าเหี่ยวย่น กระชับรูขุมขน ปลอดภัย ไร้สารเคมี

โรคติดเชื้อภายในสตรี


โรคติดเชื้อภายในสตรี


ด้วย โครงสร้างสรีระอันสลับซับซ้อนของระบบสืบพันธุ์ ทำให้ผู้หญิงติดเชื้อภายในได้ง่าย จากการสำรวจของหน่วยงานสาธารณสุขพบว่า ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ประสบปัญหาการติดเชื้อภายในสูงถึง 80% แต่ส่วนใหญ่ไม่ไปพบหมอเพราะอาย ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานานและกลายเป็นต้นเหตุสำคัญของการเป็น หมัน ท้องนอกมดลูก เนื้องอก ซีสต์หรือมะเร็งในระบบสืบพันธุ์จนต้องตัดมดลูกทิ้ง

การติดเชื้อภายในระบบสืบพันธุ์มีชนิดใดบ้าง
- การติดเชื้อภายในระบบสืบพันธุ์ส่วนล่าง เช่น ช่องคลอดอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ เป็นต้น
- การ ติดเชื้อภายในระบบสืบพันธุ์ส่วนบน เช่น ปีกมดลูกอักเสบ รังไข่อักเสบ เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ เยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกรานอักเสบ เป็นต้น

ทำไมผู้หญิงจึงติดเชื้อภายในได้ง่าย
- โครง สร้างทางสรีระ ระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงมีปากช่องคลอดเชื่อมต่อภายนอกโดยตรง เวลานั่งห้องน้ำที่ไม่สะอาดหรือมีน้ำกระเซ็นก็จะมีโอกาสทำให้เชื้อโรคผ่าน ช่องคลอดเข้าสู่มดลูกได้ง่าย อีกทั้งบริเวณช่องคลอดมีจุดซ่อนเร้นและเป็นที่อับชื้น ซึ่งเอื้อต่อการหลบซ่อนและแพร่พันธุ์ของเชื้อโรค นอกจากนี้ปากช่องคลอดยังอยู่ใกล้ทวารหนักด้วย หลังขับถ่ายหากเช็ดกระดาษชำระจากด้านหลังมาด้านหน้าก็จะทำให้เชื้อโรคจาก ทวารหนักเข้าไปยังช่องคลอดและก่อให้เกิดการอักเสบภายในได้
- การใช้ชีวิต ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ พักผ่อนไม่เพียงพอ และการลดน้ำหนักที่ไม่ถูกวิธี จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง ส่งผลให้ง่ายต่อการติดเชื้อ การใช้ผ้าเช็ดตัวหรือภาชนะอาบน้ำร่วมกับผู้อื่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงมีประจำเดือน การสวนล้างช่องคลอดเป็นประจำ เป็นต้น
- การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้ระบบนิเวศของเชื้อจุลินทรีย์ภายในร่างกายเสียความสมดุลจนทำลายสภาวะ ความเป็นกรดอ่อน ๆ ของช่องคลอดส่งผลให้การติดเชื้อภายในง่ายขึ้น
- การคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูกหรือใส่ห่วงคุมกำเนิด เยื่อบุช่องคลอดและมดลูกได้รับบาดเจ็บทำให้ติดเชื้อภายในง่ายขึ้น

การ รักษาด้วยยาปฏิชีวนะมีข้อจำกัด เนื่องจากตัวยาจะฆ่าแบคทีเรียที่เป็นมิตรไปพร้อม ๆ กับเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบ หากใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย ๆ จะทำให้เชื้อดื้อยา ส่งผลให้ระบบนิเวศของเชื้อจุลินทรีย์ภายในร่างกายเสียสมดุล ทำให้เชื้อจุลินทรีย์บางชนิดแพร่พันธุ์เร็วผิดปกติจนเกิดเป็นโรคได้ นอกจากนี้การติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์บ่อย ๆ จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของระบบสืบพันธ์ต่ำลงเรื่อย ๆ ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น ซึ่งเป็นวงจรที่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกันได้


ยาน้ำว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง มีส่วนช่วยได้

ปัสสาวะผิดปกติ


ปัสสาวะผิดปกติ


ไตมี หน้าที่ควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกาย โดยการใช้พลังไฟในการระเหยน้ำให้กลายเป็นไอ นำน้ำที่มีสารอาหารส่งไปยังปอด ปอดก็จะส่งกระจายต่อไปทั่วร่างกาย ส่วนน้ำที่ไม่มีสารอาหารก็จะถูกขับไปยังกระเพาะปัสสาวะ ไตทำหน้าที่ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะด้วย หากไตอ่อนแอลง ความสามารถในการระเหยน้ำก็จะลดลง น้ำจึงไหลล้นไปอยู่ในช่องท้องและใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการบวมน้ำตามร่างกาย ในขณะเดียวกันระบบควบคุมการเปิดปิดกระเพาะปัสสาวะของไตก็ผิดปกติด้วย จึงเกิดปัสสาวะบ่อยครั้ง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ปัสสาวะรดที่นอน พร้อมทั้งมีอาการของภาวะไตอ่อนแออื่น ๆ ร่วมด้วย เช่นอ่อนเพลียเรื้อรัง นอนไม่หลับ เวลานอนแขนขากระตุกหรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดเอว ขี้หนาว สมาธิไม่ดี ขี้หงุดหงิด ปัสสาวะเป็นฟอง เป็นต้น

ส่วนความ เชื่อที่ว่าปัสสาวะบ่อยน่าจะเกิดจากการดื่มน้ำมากเกินไป จริงๆแล้วการดื่มน้ำมากทำให้ไตขับน้ำปัสสาวะออกมามากจนต้องปัสสาวะบ่อยอาจ เกิดขึ้นได้เป็นการชั่วคราว และต้องไม่มีอาการอื่น ๆ ของภาวะไตอ่อนแอร่วมด้วย หากท่านใดมีอาการปัสสาวะบ่อยครั้งเป็นประจำร่วมกับอาการที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้สันนิษฐานได้เลยว่าไม่ได้เกิดจากการดื่มน้ำมากเกินไปหรือกระเพาะปัสสาวะ บีบตัวไวเกินไป แต่เป็นอาการที่เกิดจากภาวะไตอ่อนแอต่างหาก

ยาบำรุงร่างกาย (กล่องแดง) และยาบำรุงร่างกายเบอร์ 2 ตราหมอเส็ง นอกจากเป็นยาที่ปรับสมดุลของธาตุทั้งสี่ภายในร่างกายเราแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการทำให้ไตทำงานเป็นปกติด้วย

มะเร็งเต้านม Breast cancer


มะเร็งเต้านม Breast cancer

มะเร็ง เต้านม (Breast cancer) เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย โดยพบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก โดยสามารถพบได้ 1 ใน 10 ของผู้หญิง มะเร็งเต้านมนั้นสามารถพบได้ในผู้ชายเช่นกัน แต่พบในอัตราที่น้อยมาก
ปัจจัยเสี่ยง
1.ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม โดยพบบ่อยในหญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

2.หญิง ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ รวมทั้งผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม ก็มีอัตราเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นใหม่สูงกว่าคนปกติด้วย

3.ผู้ที่มีบุตรหลังอายุ 30 ปี รวมทั้งหญิงที่ไม่เคยมีบุตร จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น

4.การ กลายพันธุ์ของยีน เช่น การเกิดการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 สามารถทำให้เกิดมะเร็งเต้านม และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

5.ผู้หญิง ที่มีเต้านมเต่งตึงกว่าอายุ เช่น หญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และมีความหนาแน่นของเต้านมมากกว่าร้อยละ 75 จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ

6.ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุก่อน 12 ปี หรือ ประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้ง่ายกว่าคนปกติ

7.ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง รวมทั้งผู้ที่ได้รับยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน อาจเกิดมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้นการสูบบุหรี่

8.ทำให้เพิ่มโอกาสในการเกิดเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น

อาการเริ่มต้นที่อาจจะเป็นมะเร็ง

อาการ เริ่มต้นของมะเร็งเต้านมมะเร็งระยะเริ่มต้นนั้นมักจะไม่มีอาการเจ็บ แต่อาจจะตรวจพบความผิดปกติเกิดขึ้นที่เต้านม ซึ่งอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งเต้านม ดังนี้

*มีก้อนที่เต้านม (ร้อยละ 15-20 ของก้อนที่คลำได้ บริเวณเต้านมเป็นมะเร็งเต้านม)

*มีการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่างของเต้านม

*ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น รอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ บางส่วนมีสะเก็ด

*หัวนมมีการหดตัว คัน หรือแดงผิดปกติ

*มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม ( ร้อยละ 20 ของการมีเลือดออกจะเป็นมะเร็ง)

*เจ็บเต้านม ( มะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ไม่เจ็บ นอกจากก้อนโตมากแล้ว)

*การบวมของรักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต

การตรวจเต้านมตนเอง
การ ตรวจมะเร็งเพื่อหาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น พบว่าร้อยละ 80 ของเนื้องอกที่เต้านมผู้หญิงนั้นถูกตรวจพบครั้งแรกด้วยตนเอง การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรทำทุกเดือนตั้งแต่วัยสาวถึงวัยสูงอายุ เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำการตรวจ คือ หลังหมดระดูแล้ว 3-10 วัน เพราะเป็นช่วงที่เต้านมไม่คัดตึงทำให้ตรวจได้ง่ายสำหรับผู้หญิงที่หมดระดู หรือได้รับการตัดมดลูก จะเป็นการดีถ้าได้ทำการตรวจเต้านมตนเองทุกวันที่หนึ่งของทุกเดือน

วิธีการตรวจ 3 ท่า
ทุก ท่าจะต้องบิดลำตัวไปทั้งทางซ้ายและขวาสังเกตรูปร่าง ลักษณะ ความผิดปกติของผิวหนังรอยบุ๋ม รอยนูนของเต้านมหรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ ของเต้านมทั้ง 2 ข้าง โดยมีท่า ดังนี้

1.ยืนหน้ากระจก

-ปล่อยแขนข้างลำตัวตามสบาย

-ยกแขนทั้ง 2 ข้างเหนือศีรษะ

-ท้าวเอว เกร็งอกเพื่อให้ผนังทรวงอกกระชับขึ้น

-โค้งตัวมาข้างหน้าใช้มือทั้ง 2 ข้างท้าวเอว

2.นอนราบ

-นอนให้สบาย ตรวจเต้านมขวาให้สอดหมอนหรือม้วนผ้าใต้ไหล่ขวา
-ยก แขนขวาเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมด้านนั้นแผ่ราบซึ่งจะทำให้คลำง่ายขึ้น โดยเฉพาะส่วนบนด้านนอกมีเนื้อหนามากที่สุด และมีการเกิดมะเร็งบ่อยที่สุด
-ใช้ กึ่งกลางตอนบนของนิ้วมือซ้าย (นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง) คลำทั่วเต้านมและรักแร้ ที่สำคัญคือห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อซึ่งความจริงไม่ใช่ และทำวิธีเดียวกันนี้กับเต้านมด้านซ้าย
3.ขณะอาบน้ำ
-สำหรับผู้หญิง ที่มีเต้านมขนาดเล็กให้วางมือข้างเดียวกับเต้านมที่ต้องการตรวจบนศีรษะ แล้วใช้นิ้วมืออีกข้างคลำไปทิศทางเดียวกับที่ใช้ในท่านอน
-สำหรับผู้ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้ใช้นิ้วมือข้างนั้นประคอง และตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างให้ตรวจคลำเต้านมด้านบน

ระยะของมะเร็งเต้านม
ระยะ 0 เป็นระยะเริ่มต้นของเซลล์มะเร็งซึ่งยังไม่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อเต้านม
ระยะ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่เกิน 2 ซม.และยังไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง
ระยะ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 ซม. ซึ่งอาจจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้หรือไม่ก็ได้ หรือมีขนาดไม่เกิน 2 ซม.และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
ระยะ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม.และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
ระยะ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ แล้ว

การดูแลเต้านม

1.อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน
2.ช่วง เวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจคือ 3 ถึง 10 วัน นับจากประจำเดือนหมด ส่วนสตรีที่หมดประจำเดือนให้กำหนดวันที่จดจำง่ายและตรวจในวันเดียวกันของทุก เดือน
3.สำหรับผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
4.หากพบสิ่งผิดปกติบริเวณเต้านม หรือรักแร้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีที่พบ

(คัดลอกข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

ยาน้ำว่านชักมดลูกสูตร2 ตราหมอเส็ง มีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็งเต้านม หากคุณตรวจพบแต่เริ่มแรก ในว่านชักมดลูกหมอเส็งมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนซ์ ปกป้องการเกิดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการทำลายเซลล์ต่างๆของร่างกาย

รูมาตอยด์ Rheumatoid


รูมาตอยด์ Rheumatoid


โรคปวดข้อรูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่มี อาการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุข้อเกือบทุกข้อทั่วร่างกายพร้อมๆ กัน รวมทั้งมีการอักเสบของพังผืดหุ้มข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อด้วย หากมีการอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานาน ข้ออาจจะแข็งหรือเกิดการพิการได้ โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 20-50 ปี

อาการของโรค
ส่วนใหญ่มีอาการค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากอาการอ่อนเพลียเบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็นดังนี้
- ข้อที่มีการอักเสบก่อนคือ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นข้อศอก ข้อไหล่
- ผู้ป่วยมักจะมีลักษณะจำเพาะคือ มีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้งสองข้าง และข้อจะบวม แดง ร้อน
- อาการ ปวดข้อและข้อแข็ง (การขยับข้อได้ลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายก็จะทุเลาลง


สาเหตุของโรค
การแพทย์ตะวันตกสันนิษฐาน ว่าโรคปวดข้อรูมาตอยด์เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่าง ผิดปกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารแอนติบอดีที่เรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิต้านทานตัวเอง

การรักษา

โรคนี้มักไม่หายขาด ยาบำรุงร่างกายเบอร์2 ตราหมอเส็ง ก็สามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น บรรเทาอาการปวดได้ ควรออกกำลังกาย พักผ่อนและทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย

ตับแข็ง Liver cirrhosis



ตับแข็ง Liver cirrhosis

ตับ มีหน้าที่เปรียบเสมือนโรงงานใหญ่ที่คอยจัดการกับสารอาหารต่างๆ เมื่อคนเรากินเข้าไป ตับจะสลายและสร้างสารตัวใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ขณะเดียวกันสารต่างๆ ที่ร่างกายใช้ไปแล้ว ก็จะกลับมาเผาผลาญที่ตับ เพื่อขับเป็นของเสียออกจากร่างกาย


ตับ ยังทำหน้าที่อย่างดีเพื่อดูแลสุขภาพของเรา เช่น ขจัดสารพิษหรือเชื้อโรคออกจากเลือด สร้างภูมิคุ้มกันบางอย่างขึ้นมาเพื่อต่อสู้โรคติดเชื้อ นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว ทำหน้าที่สร้างน้ำดี ซึ่งมีบทบาทในการดูดซึมไขมันและวิตามินชนิดละลายในน้ำมันให้กับร่างกาย

โรคตับ แข็งเป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้เกิดการสูญเสียโครงสร้างของตับ โดยปกติเนื้อตับจะนุ่ม แต่ถ้ามีอาการอักเสบหรืออันตรายต่อตับ เนื้อตับจะถูกทำลายกลายเป็นพังผืดลักษณะคล้ายแผล ซึ่งจะทำให้ไปเบียดเนื้อตับที่ดี และทำให้เลือดไปเลี้ยงตับน้อยลง ถ้ามีการทำลายเซลล์ตับอย่างเรื้อรังจนมีพังผืดเกิดขึ้นมาก เนื้อตับที่เคยนุ่มจะค่อยๆแข็งขึ้น จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด ส่งผลให้สมรรถภาพการทำงานของตับลดลง ซึ่งนำมาสู่สุขภาพร่างกายแย่ลงด้วย

สาเหตุ ที่เซลล์ตับถูกทำลายมีอยู่หลายประการ ที่พบบ่อยมากมักจะเกิดจากการดื่มเหล้าจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งแอลกอฮอล์ในเหล้าหรือสุราเมื่อดื่มไปมากๆ จะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ จึงเกิดภาวะตับอักเสบและเรื้อรังจนกลายเป็นโรคตับแข็ง นอกจากนี้ ภาวะตับแข็งยังอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี หรือการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันนานๆ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน ยารักษาวัณโรคบางชนิด หรืออาจเป็นเพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง ทำให้มีภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เป็นโรคตับแข็งได้ด้วย เช่น โรคทาลัสซีเมีย อ้วน เบาหวาน ภาวะหัวใจเรื้อรัง และภาวะขาดอาหาร

คนเป็น โรคตับแข็งในระยะเริ่มแรกมักไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน อาจมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่ามีความผิดปกติที่ตับ ต่อมาจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนเป็นบางครั้ง น้ำหนักลด อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย เนื้อตัวและนัยน์ตาเหลือง เนื่องจากตับไม่สามารถขับน้ำดี จึงมีการสะสมน้ำดีตามผิวหนังจนมีสีออกเหลืองๆ และยังทำให้มีอาการคันตามตัวได้ ความรู้สึกทางเพศลดลง ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรือมีเสียงแหบแห้งคล้ายผู้ชาย ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ อัณฑะฝ่อตัว บางคนอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง

เมื่อ เป็นโรคตับแข็งอยู่หลายปีหรือยังดื่มเหล้าจัด จะมีอาการท้องมาน เท้าบวม เนื่องจากตับไม่สามารถสร้างโปรตีนอัลบูมิน (albumin) ซึ่งเป็นตัวควบคุมความดันน้ำในหลอดเลือดได้เพียงพอ พังผืดที่ดึงรั้งในตับก็จะมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ มีแรงดันในเลือดเพิ่มมากขึ้น เกิดการแตกแขนงเป็นเส้นเล็กๆ ซึ่งจะเปราะบาง และแตกได้ง่าย เห็นเป็นหลอดเลือดพองที่หน้าท้อง เกิดหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหารและขา ซึ่งอาจจะแตก ทำให้อาเจียนเป็นเลือดสดๆ ทำให้เสียเลือดมาก อาจจะช็อกถึงตายได้ ในระยะสุดท้ายเมื่อตับทำงานไม่ได้ที่เรียกว่าตับวาย ก็จะเกิดอาการทางสมอง ซึม เพ้อ ไม่ค่อยรู้ตัว (Hepatic encephalopathy) จนหมดสติได้http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=8094407775040486893#

โรคตับ แข็งนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด เพราะเซลล์ตับที่ถูกทำลายไปแล้ว ไม่สามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้ แต่สามารถชะลอหรือหยุดการทำลายตับได้ ถ้าเป็นตับแข็งระยะเริ่มแรก และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม ซึ่งจะสามารถมีชีวิตได้นานเกิน ๕-๑๐ ปีขึ้นไป แต่ถ้าปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน เช่น ดีซ่าน ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด ก็จะมีชีวิตสั้น อาจอยู่ได้ ๒-๕ ปี

การ ดูแลภาวะโภชนาการสำหรับผู้ป่วยโรคตับแข็งมีความสำคัญมาก ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของโรค และการประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วยแต่ละรายซึ่งอาจไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปอาหารประเภทแป้งจะมีประโยชน์มากกว่าน้ำตาล ควรเน้นการบริโภคคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ส่วนอาหารประเภทโปรตีน ควรเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์นมและโปรตีนจากพืช ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากเกินไป ควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม โดยหากยังไม่มีภาวะตับวายสามารถรับประทานโปรตีนได้ในปริมาณปกติ ในรายที่ตับเสื่อมมากๆ การรับประทานโปรตีนมากเกินไปก็จะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ทางที่ดีที่สุดควรรับประทานโปรตีนจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง เป็นต้น

ยาบำรุงร่างกาย(กล่องแดง) ตราหมอเส็ง มีส่วนช่วยบำรุงตับให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ความดันโลหิตต่ำ Hypotension


ความดันโลหิตต่ำ Hypotension


โรคความดันโลหิตต่ำ ( Hypotension )
โรค ความดันโลหิตต่ำเป็นโรคพบน้อยกว่าโรคความดันโลหิตสูง และผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำมีอันตรายและภาวะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอื่นๆได้ น้อยกว่าผู้ที่มีความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ภาวะความดันโลหิตต่ำก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราะความดันโลหิตต่ำจะทำให้คุณเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนแรง เป็นลมได้ง่าย และผู้ป่วยจะมีอาการวิงเวียนได้ง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนท่า จากท่านอนมาเป็นยืนหรือนั่ง


สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำ
• สาเหตุส่วนใหญ่ของภาวะความดันโลหิตต่ำ คือ ภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาดสารอาหารประเภทโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี ทำให้เนื้อเยื่อรอบๆผนังหลอดเลือดแดงไม่แข็งแรง และคลายตัวมากเกินไป
• การสูญเสียโลหิต ทั้งแบบกะทันหัน เช่นอุบัติเหตุ หรือการสูญเสียโลหิตแบบเรื้อรัง เช่น บาดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้หรือที่ไต
• การสูญเสียน้ำ เช่น เหงื่อ ท้องเสีย หรือการขาดการดื่มน้ำที่เพียงพอต่อร่างกาย
• การติดเชื้อรุนแรง เช่นสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร
• โรคหัวใจ
• การตั้งครรภ์

อาการของโรค
ส่วน ใหญ่ของผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำ มักมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะได้ง่าย เหงื่อแตก ใจเต้นเร็ว อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นลมหมดสติ หรือเกือบหมดสติ แล้วหากเวลาที่มีการเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็ว เช่นจากนั่งยองๆ แล้วลุกขึ้นยืน หรือกำลังนอนอยู่แล้วลุกขึ้นเร็วๆ จะเกิดอาการเวียนศีรษะชั่วคราว อาการหน้ามืดวิงเวียนดังกล่าวเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ จะรู้สึกตาพร่าหรือตาลายร่วมด้วย แต่พอผ่านไปซักพักก็จะหายกลับมามองเห็นชัดเป็นปกติ หากมีอาการอดนอนหรือนอนไม่พอ จะมีอาการเวียนหัวและอ่อนเพลียได้ง่าย

การรักษา
หากมีอาการดังกล่าวแล้วไม่แน่ใจ ควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและรักษาตามสาเหตุ
- ถ้าไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจต้องตรวจเลือด ปัสสาวะ และอื่น ๆ ที่จำเป็น
- แนะนำให้ลุกขึ้นนั่งหรือยืนช้า ๆ อย่าลุกพรวดพราด เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
- ควรออกกำลังกายบ้าง แต่ค่อยๆออกกำลังกาย อย่าหักโหม เพื่อช่วยให้หัวใจแข็งแรง
- หากมีปัญหาเรื่องขาดอาหาร ก็ควรให้สารอาหารชดเชย อาทิเช่น
• กรดโฟลิคจากน้ำผึ้งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
• กรดอะมิโนในสาหร่ายเกลียวทอง เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผนังเส้นเลือดและระบบประสาทอัตโนมัติ
• วิตามินบี เกลือแร่ ในว่านหางจระเข้ช่วยให้เกิดสมดุลของความดันโลหิต
• วิตามินซี ช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยม ธาตุเหล็กและกระบวนการเมตาโบลิซึมของร่างกาย
• วิตามินอีในเมล็ดทานตะวันช่วยลดการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง
• ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีน เช่นเนื้อปลา เพราะอาหารเหล่านี้จะช่วยสร้างเม็ดเลือดและกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนต่อม หมวกไต ช่วยในการปรับระดับความดันโลหิตให้สูงขึ้น

โรคอ้วน Obesity



โรคอ้วน Obesity

โรคอ้วน คือ สภาวะที่ร่างกายเรามีไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่างๆของร่างกายเกินความจำเป็นนั่น เอง ซึ่งปริมาณพลังงานที่เราได้รับจากการรับประทานอาหารมีมากกว่าพลังงานที่เรา ได้ใช้จากการออกกำลังกายหรือการทำงาน ทำให้เกิดพลังงานที่เหลือสะสมอยู่ในรูปแบบของไขมัน โดยปกติเราจะใช้วิธีการง่ายๆด้วยการเอาส่วนสูงเป็นเซนติเมตร –100 หรือ 110 สำหรับผู้ชาย ส่วนผู้หญิง เราจะใช้วิธีเอาส่วนสูง (ซม.) -110 เพื่อที่จะได้ทราบถึงน้ำหนักตัวที่เหมาะสม แต่วิธีดังกล่าวยังได้ผลไม่แน่นอนเท่าที่ควร เนื่องจากมวลน้ำหนักกระดูกในร่างกายหรือโครงสร้างของร่างกายแต่ละคนแตกต่าง กัน ดังนั้นเราจึงใช้วิธีการวัดแบบดัชนีวัดค่ามวลของร่างกายที่เรียกว่า Body Mass Index หรือ BMI


วิธีการคำนวณค่า BMI ในร่างกาย = น้ำหนัก(กิโลกรัม.) / ส่วนสูง(เมตร)2
ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงมีส่วนสูง 160 ซ.ม. หนัก 50 กก.
วิธีคิดค่า BMI คือ 50 กก./1.6 (เมตร)2 = 19.5 กก./ม.
ซึ่ง ค่าปกติ BMI ของผู้หญิงควรอยู่ระหว่าง 19-25 กิโลกรัมต่อเมตร หากได้ค่า BMI มากเกินกว่า 25 ถือว่าเริ่มอ้วนแล้ว ส่วนผู้ชายควรมีค่า BMI อยู่ที่ระหว่าง 20-25 กิโลกรัมต่อเมตร โดยน้ำหนักมาตรฐานที่เหมาะสมของทั้งผู้หญิงและผู้ชายควรอยู่ในระหว่างค่า เฉลี่ย BMI ซึ่งหากว่าค่า BMI น้อยกว่าค่าเฉลี่ย แสดงว่าเราผอมเกินไป แต่หากได้ค่ามากเกินกว่าค่าเฉลี่ย BMI แสดงว่าเราอ้วนเกินไป และเนื่องจากพออายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญไขมันในร่างกายจะลดลง ทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จึงมีปัญหาเรื่องโรคอ้วน ทั้งๆที่พฤติกรรมและปริมาณอาหารที่บริโภคก็เท่าเดิม แต่น้ำหนักกลับขึ้นเอาๆ และเรื่องของความอ้วนไม่ได้หยุดอยู่แค่การมีไขมันมาพอกหนาตามร่างกาย แต่ยังนำพาภาวะเสี่ยงของโรคต่างๆ อีกมากมาย เช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคข้อเสื่อม โรคมะเร็ง เป็นต้น


สาเหตุของโรคอ้วน
สาเหตุหลักๆ ของโรคอ้วนมีอยู่ 2 ปัจจัยคือปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน
1. สาเหตุจากปัจจัยภายนอก เกิดจากพฤติกรรมการกิน การที่เราตามใจปากของเรามากเกินไป รับประทานอาหารเกินกว่าปริมาณอาหารที่ร่างกายของเราต้องการ โดยการรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ไขมันและของหวานในปริมาณมากๆ รวมทั้งการกินจุกจิก ในขณะที่เราไม่ค่อยได้ทำงานหรือออกกำลังกายน้อย ก็จะทำให้ไขมันไปสะสมพอกพูนตามส่วนต่างๆของร่างกายเราได้
2. สาเหตุจากปัจจัยภายใน เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ได้แก่
• จากความผิดปกติของระบบการทำงานภายในร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง ทำให้มีไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกาย
• กรรมพันธุ์ ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งคู่ ลูกที่เกิดมามีโอกาสอ้วนได้ถึง 80% แต่ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งอ้วน ลูกมีโอกาสอ้วนได้ถึง 40%
• โรคประจำตัวหรือการได้รับอุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายได้สะดวก จึงรับประทานอาหารมากกว่าที่จะสามารถออกกำลังกาย
• จากการรับประทานยาบางชนิดสามารถทำให้อ้วนขึ้นได้ เช่นยาบำรุงเลือด ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนสเตียรอยด์ หากผู้ป่วยได้รับยาเป็นเวลานานทำให้อ้วนได้
• เพศ เพศหญิงมักมีโอกาสอ้วนได้ง่ายกว่าเพศชาย เนื่องจากโดยนิสัยธรรมชาติของผู้หญิงที่ชอบการรับประทาน โดยเฉพาะของหวาน อีกทั้งในภาวะที่ตั้งครรภ์ ก็ทำให้ผู้หญิงต้องรับประทานอาหารมากขึ้นเพื่อบำรุงร่างกายและทารกในครรภ์ แต่หลังจากคลอดลูกแล้ว บางรายอาจลดน้ำหนักได้ แต่บางรายอาจลดไม่ได้ นอกจากนี้ผู้หญิงยังทำงานหนักน้อยกว่า การออกกำลังกายน้อยกว่า ทำให้โอกาสที่ผู้หญิงจะอ้วนมากกว่าผู้ชายอยู่ที่ 4 ต่อ 1


ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการลดความอ้วนด้วย
นอก จากความอ้วน หรือภาวะอ้วนจะทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายไม่คล่องตัวแล้ว ความอ้วนยังมีผลกระทบต่อบุคลิกภาพ ทำให้ขาดความมั่นใจได้ง่ายในการเข้าสังคม ความอ้วนยังถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้มากมาย อาทิเช่น


1. ไขมันในเลือดสูง สามารถนำไปสู่ความผิดปกติในการทำงานของระบบอื่นๆ ในร่างกายได้ โดยเฉพาะเมื่อไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ยิ่งหนามากขึ้นๆ ทำให้ทางเดินของเลือดไหลเวียนไปไม่สะดวกในการไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกส่วนของ ร่างกาย และเมื่อร่างกายของเราบางส่วนได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ ย่อมจะส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมาอีกมาก ทั้งโรคหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง เหนื่อยหอบ มึนงงบ่อยๆ เป็นลม เมื่อเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่ดี เซลล์ต่างๆก็เสื่อมสภาพโทรมลง อนุมูลอิสระก็เกิดเร็วขึ้น จึงทำให้เราดูแก่ขึ้นได้ชัด
2. โรคเบาหวาน เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นได้ง่ายกับคนอ้วน และในคนไข้ที่ป่วยเป็นเบาหวานด้วยแล้ว ความอ้วนจะส่งผลทำให้เกิดภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ ทำให้การรักษาโรคเบาหวานทำได้ยากมากขึ้น และหากผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมีรูปร่างอ้วนด้วยแล้ว ต้องคอยระมัดระวังอย่างมากเพราะหากเกิดบาดแผลจะรักษาไม่หายทำให้กลายเป็นแผล เรื้อรัง บางทีอาจเกิดแผลกดทับ ประกอบกับอาจเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราที่แผลได้ง่ายขึ้น เพราะเนื่องจากมีความอับชื้นตามซอกแขนและซอกขาที่มีไขมันมากกว่าปกติ
3. โรคความดันโลหิตสูง เมื่อไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือดมาก ทำให้เป็นอุปสรรคในการไหลเวียนโลหิตภายในร่างกาย ซึ่งหัวใจของเราจะทำหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำ ที่กระตุ้นและผลักดันให้เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย หากในบางจุดเส้นเลือดตีบ แต่ร่างกายต้องการเลือด มันอาจจะออกแรงผลักดันเลือด ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกถึงแก่ชีวิต หรืออาจพิการเป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ์ได้
4. โรคหัวใจ เนื่องจากไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน ส่งผลให้หัวใจของเราทำงานหนักมากขึ้น ถ้าไขมันที่ไปเกาะตามผนังหลอดเลือดเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจก็ทำให้ เกิดโรคหัวใจขาดเลือด และเกิดอาการหัวใจวาย
5. โรคระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากคนอ้วนมักมีการเคลื่อนไหวน้อย ไม่ค่อยได้ทำงานหรือออกกำลังกาย ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ การทำงานของปอดลดลง ก่อให้เกิดการติดเชื้อของทางเดินหายใจได้ง่าย บางครั้งถึงกับมีการหายใจลดลง หายใจติดขัด จึงเป็นเหตุทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในปอดได้ง่าย ซึ่งทำให้คนที่อ้วนมากๆ จะรู้สึกเหนื่อยง่ายและง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา
6. โรคข้อกระดูกเสื่อม เนื่องจากต้องรับน้ำหนักตัวที่มากเกินกว่าที่กระดูกข้อเข่าและข้อเท้าจะรับ ได้ ทำให้คนที่อ้วนมากๆ บางคนไม่สามารถยืนหรือเดินได้เลย เพราะกระดูกข้อเท้าไม่มีกำลังมากพอที่จะแบกรับน้ำหนักได้ไหว คนอ้วนมากๆจึงเคลื่อนไหวได้ลำบาก เดินเอียงไปเอียงมา และมีอาการเหนื่อยง่าย
7. โรคนิ่วในถุงน้ำดีและการที่มีไขมันไปแทรกในตับ ซึ่งเมื่อร่างกายของเรามีไขมันมาก จะทำให้การทำงานของตับลดลง เพราะไขมันจะเข้าไปแทรกอยู่จนทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
8. โรคมะเร็ง ไขมันที่สะสมอยู่มากๆ จะทำให้ระบบการทำงานในร่างกายของเราผิดปกติ เกิดภาวะเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคมะเร็งบางอย่างได้ง่าย เช่น โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งในถุงน้ำดี เป็นต้น


ข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
1. ไม่รับประทานอาหารเช้า จริงๆแล้ว เราควรรับประทานอาหารมื้อเช้าเป็นประจำทุกวัน อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดนอกจากจะบำรุงสมองแล้ว ยังช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารทำงาน การเลี่ยงไม่รับประทานอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายไม่ใช้พลังงานส่วนนี้ การรับ ประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้อ้วนง่าย ลดน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่ไม่กินอาหารเช้า และสำหรับคนที่ลดแล้วก็จะคงน้ำหนักตัวได้ง่าย
2. อดอาหารมากเกินไป เข้มงวดกับร่างกายจนเป็นการกระตุ้นทำให้ร่างกายเกิดความหิวและความอยากอาหารมากขึ้น ในที่สุดก็ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ
3. ขาดจุดยืนหรือแรงจูงใจที่ชัดเจน หากต้องการลดน้ำหนักจริงๆ ควรตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากลดน้ำหนักได้กี่กิโลกรัมต่อเดือน แล้วควรทำอย่างไร ควรตั้งเป้าหมายที่พอเป็นไปได้และไม่หักโหมกับการลดน้ำหนักมากจนเกินไป
4. ดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่สูง การดื่มกาแฟยิ่งถ้ามีน้ำเชื่อมกับวิปครีม อาจทำให้เป็นการเพิ่มน้ำหนักและไขมันในร่างกายได้ รวมไปถึงการดื่มไวน์ร่วมกับอาหารมื้อค่ำหรือดื่มน้ำผลไม้ระหว่างวัน อาจทำให้แคลอรี่สูงซึ่งส่งผลกระทบต่อการลดน้ำหนักได้ ควรดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรแบบไม่ใส่น้ำตาลจะเหมาะกว่า
5. ไม่ยอมออกกำลังกาย ไม่ใช่แค่จำกัดการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว ควรเลือกที่จะใช้พลังงานแคลอรี่ที่ได้รับในร่างกาย โดยดึงออกมาใช้ด้วยการออกกำลังกาย
6. เครียด บางรายเครียดจัดที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เลยกลับมารับประทานอาหารเหมือนเดิม
7. นอนดึก นอกจากจะทำให้ร่างกายดูโทรมและแก่เร็วแล้ว ยังทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นด้วย


การป้องกันโรคอ้วน
การ แก้ปัญหากับความอ้วนนี่ขึ้นอยู่ที่ใจล้วนๆ ซึ่งวิธีการที่เหมาะสมคือการปรับพฤติกรรมการบริโภค การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หากสาเหตุของการอ้วนขึ้นเกิดจากอาการป่วยหรือความผิดปกติในร่างกาย ควรพบและปรึกษาแพทย์และทำการรักษา แต่หากอ้วนเพราะกรรมพันธุ์ อันนี้คงต้องใช้วิธีการควบคุมพฤติกรรมการกิน เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และไขมันต่ำ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


อย่าง ไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยชอบคิดว่าตัวเองอ้วน หรือว่ามีภาวะอ้วนจริงๆ และต้องการอยากลดความอ้วนได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทำให้เลือกที่จะรับประทานยาลดความอ้วน ซึ่งต้องระมัดระวังให้มาก เพราะในยาลดความอ้วนจะมีสารที่ออกฤทธิ์แรงและแพทย์จะไม่แนะนำเลย เป็นอันตรายต่อร่างกาย หากรับประทานเข้าไปอาจทำลายอวัยวะภายในร่างกาย อันจะส่งผลทำให้เสียชีวิตได้ ทางที่ดีควรเลือกวิธีการลดความอ้วนด้วยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และตั้งใจลดความอ้วนแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจให้ผลช้าหน่อยแต่ปลอดภัยกับชีวิตของเรามากกว่า


โภชนาการสำหรับการลดความอ้วน
การ ลดน้ำหนักที่ดีและให้ได้ผลควรค่อย ๆ เป็นค่อยๆไป เพราะการลดอาหารแบบให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วนั้น อาจส่งผลเสียต่อระบบการทำงานภายในร่างกายได้ เช่นหัวใจ ผิวหนัง เป็นต้น การลดน้ำหนักไม่ได้หมายความว่าเป็นการลดการบริโภคอาหาร แต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานให้ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนักมีดังนี้
• รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานอาหารแต่ละหมู่ให้หลากหลาย
• ควรเลือกรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแบบไม่ฟอกสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น
• รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ แต่ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อลง
• เลือกรับประทานอาหารประเภทโปรตีนและแคลเซียม เช่นเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา นมพร่องมันเนย โยเกิรต์ถั่วต่างๆ เมล็ดธัญพืช เป็นต้น
• รับประทานผักและผลไม้ให้เพียงพอต่อความต้องการในร่างกาย จำกัดการรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด
• เลือกใช้ไขมันพืชแทนไขมันสัตว์ในการปรุงอาหาร เช่นน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น แต่สำหรับน้ำมันปาล์มควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวสูง
• เลือกปรุงอาหารโดยใช้วิธีนึ่ง ต้ม ตุ๋น อบ แทนการทอดหรือย่าง หากต้องการปรุงอาหารด้วยวิธีการผัด ไม่ควรใส่น้ำมันเยอะ
• ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ประกอบด้วยแป้งหรือไขมันมากๆ เช่นซาลาเปา ปาท่องโก๋ หมูสามชั้น หนังไก่ หนังหมู ไข่แดง เป็นต้น รวมไปถึงอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร
• ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานขนมหวาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม น้ำหวาน ชาและกาแฟ เลือกดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรที่ไม่ใส่น้ำตาล

ความดันโลหิตสูง Hypertension



ความดันโลหิตสูง Hypertension



โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ความ ดันโลหิต คือแรงดันเลือดที่เกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งแรงดันที่เลือดกระทำต่อผนังหลอดเลือดจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ อัตราการเต้นของหัวใจ และความต้านทานในหลอดเลือด ค่าความดันโลหิตของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น อุณหภูมิ อากาศ อารมณ์ ความเครียด ภาวะก่อนและหลังการเล่นกีฬา หรือการพักผ่อน ค่าความดันโลหิตในร่างกายของเรามีลักษณะเป็น Circadian Rhythm ซึ่งค่าจะแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาของวัน โดยทั่วไปความดันจะตกในช่วงกลางคืนและเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วในตอนเช้า

ค่าความ ดันโลหิตจะมี 2 ค่าที่เรียกว่า ค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood Pressure หรือ SBP) และค่าความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure หรือ DBP) ค่าตัวบนเป็นค่าความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นในขณะที่หัวใจบีบตัวไล่ เลือดออกจากหัวใจ เป็นช่วงที่แรงดันในเส้นเลือดสูงสุด ส่วนตัวล่างคือค่าความดันของเลือดที่ยังค้างอยู่ในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลาย ตัว เป็นช่วงที่แรงดันในเส้นเลือดต่ำสุด ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรจำค่าทั้งสองไว้ และในแต่ละช่วงอายุของคนเรา ค่าความดันโลหิตจะแตกต่างกัน ซึ่งโดยเฉลี่ยในแต่ละช่วงอายุ ค่าความดันโลหิตตัวบนและค่าความดันโลหิตตัวล่างไม่ควรเกินเกณฑ์ดังต่อไปนี้



หมายเหตุ : ตัวเลขตัวแรกคือตัวเลขค่าความดันตัวบน ส่วนเลขถัดมาคือค่าความดันตัวล่าง


สำหรับ ผู้สูงอายุที่มากกว่า 65 ปีขึ้นไป ถ้าความดันเลือดที่สามารถวัดได้สูงกว่า 160/95 มิลลิเมตรปรอท แนะนำให้ผู้สูงอายุลองนอนพักประมาณ 5-10 นาที แล้วจึงทำการวัดความดันโลหิตใหม่อีกที หากยังได้ค่าความดันเลือดเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับครั้งก่อน ควรทำการวัดความดันโลหิตซ้ำอีกในเวลา 2-3 สัปดาห์อีก 2-3 ครั้ง หากค่าตัวบนและค่าตัวล่างสูงตลอดจึงจะถือว่าเป็นความดันเลือดสูงได้ ความดันโลหิตเป็นค่าไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทุกวินาที จึงไม่แปลกที่เมื่อทำการวัดค่าความดันโลหิตซ้ำในเวลาที่ใกล้เคียงกันแล้วได้ คนละค่า แต่ค่าที่วัดได้ก็ไม่ควรจะแตกต่างกันมากนัก

สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุของการที่ทำให้ภาวะความดันโลหิตสูงขึ้นได้นั้นยังไม่ชัดเจนแต่อาจเกิดจาก
1. โรคไต จะเป็นทั้งชนิดของโรคไตอักเสบเฉียบพลัน หรือไตวายเรื้อรัง
2. โรคเนื้องอกของต่อมหมวกไตบางชนิด
3. โรคครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะของความดันโลหิตสูง ที่เกิดร่วมกับ การตั้งครรภ์ เมื่อคลอดบุตรแล้ว ความดันโลหิตจะลดลง
4. การใช้ยาสเตียรอยด์ หรือสตรีที่ใช้ยาคุมกำเนิด เมื่องดยาคุมกำเนิดแล้ว ความดันโลหิตจะกลับเป็นปกติ
5. โรคกล้ามเนื้อหัวใจบางชนิด หรือโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว

อาการของโรค
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง มักมีอาการดังนี้
1. ปวดศีรษะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ โดยมักปวดบริเวณท้ายทอย จะมีอาการปวดบริเวณดังกล่าวในตอนเช้า ซึ่งจะพบใน คนที่มีความดันโลหิตสูงค่อนข้างรุนแรง อาการปวดศีรษะจะหายไปได้เอง แต่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ความรู้สึกทางเพศลดลง
2. เลือดกำเดาออก
3. ปัสสาวะเป็นเลือด
4. ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัดเจน ดูเบลอๆ

ทำไมต้องลดความดันโลหิตสูง
ความ ดันโลหิตสูงมีผลเกี่ยวเนื่องต่อการทำงานระบบต่างๆในร่างกายด้วย เนื่องจากความดันโลหิตเปรียบเสมือนแรงดันที่คอยสูบฉีดเลือดในร่างกาย ดังนั้นการที่ปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดเลี้ยงสมอง ตา หัวใจ และไต เป็นต้น
1.) สมอง หากความดันโลหิตในร่างกายสูงมาก ในขณะที่หลอดเลือดในสมองก็ตีบหรือตัน อาจทำให้หลอดเลือดแตก ซึ่งส่งผลให้เลือดออกในสมองได้ง่ายและอาจทำให้ผู้ป่วย ป่วยเป็นโรคอัมพาตหรืออัมพฤกษ์ได้ นอกจากนี้หากความดันโลหิตสูงมากๆทันที อาจทำให้ผู้ป่วยปวดศีรษะอย่างรุนแรง ไม่รู้สึกตัวและอาจเกิดอาการชักได้ หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้องและทันเวลา อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
2.) หัวใจ ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เป็นผลให้หัวใจโต หากหัวใจต้องทำงานหนักมากๆ อาจทำให้หัวใจล้มเหลวได้ และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และกล้ามเนื้อหัวใจตายได้มากกว่าคนที่มีความดันปกติทั่วไป
3.) ไต ความดันโลหิตสูงอาจทำให้ไตอักเสบและฝ่อ
4.) ดวงตา ความดันโลหิตสูงจะมีผลต่อหลอดเลือดที่ตา เช่นเลือดออกที่จอตา หลอดเลือดเล็กๆที่จอตาอุดตัน ซึ่งจะทำให้ดวงตาพร่ามัวและอาจตาบอดได้

การรักษาโรค
เนื่อง จากความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นการรักษาด้วยการรับประทานยาจึงเป็นลักษณะการควบคุมระดับของค่าความ ดันในร่างกายของเรา ซึ่งผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาเป็นประจำทุก ครั้งที่แพทย์นัด และห้ามหยุดยา เพราะหากหยุดยา ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงอีกได้


การรักษาโรคความดันโลหิตสูงมีอยู่ 2 แบบคือ
1. การใช้ยา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยาที่ใช้ควบคุมระดับค่าของความดันในร่างกาย โดยแพทย์จะจัดยาให้ตามลักษณะอาการของผู้ป่วย รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนต่างๆ
2. การไม่ใช้ยา คือการรักษาโดยการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรง โดยมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน


• การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ อย่าหักโหม ไม่ควรออกกำลังกายที่ต้องกลั้นหายใจหรือใช้แรงเบ่ง เช่นการยกน้ำหนัก วิดพื้น ชักเย่อ เป็นต้น
• การลดน้ำหนัก ควรค่อยๆลดน้ำหนักจนกระทั่งได้น้ำหนักตัวที่มาตรฐานเหมาะสมกับโครงสร้างของร่างกาย ไม่อ้วนจนเกินไปและไม่ผอมจนเกินไป
• การงดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะทำลายและก่อให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด
• หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว การไหลเวียนของโลหิตเร็วและแรงขึ้น หัวใจต้องทำงานหนัก และแรงดันโลหิตจะพุ่งสูงขึ้น
• การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารที่มีรสเค็ม
• เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
• พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิด โกรธง่ายหรือตื่นเต้น พยายามฝึกอารมณ์ให้นิ่งและใจเย็น รวมทั้งอยู่กับอากาศบริสุทธิ์จะช่วยให้สุขภาพทั้งกายและใจดีขึ้น
• ควรรับประทานอาหารเช้าทุกวัน เพราะอาหารเช้ามีส่วนสำคัญต่อการรักษาระดับความดันโลหิตภายในร่างกาย

โภชนาการที่เหมาะสม
หลัก สำคัญในการควบคุมและรักษาระดับค่าความดันโลหิตไม่ให้สูงคือการหลีกเลี่ยง อาหารที่มีรสเค็มและอาหารที่มีไขมันสูง ดังนั้น ผู้ป่วยหรือผู้ที่ยังไม่ป่วยแต่มีภาวะเสี่ยงควรปรับการบริโภคอาหารดังนี้
• หลีกเลี่ยงของการรับประทานอาหารพวกของแห้ง ของเค็มและรมควัน เช่นปลาเค็ม กะปิ กุ้งแห้ง หมูแฮม เบคอน ไส้กรอก เป็นต้น
• หลีกเลี่ยงการใช้เกลือ ซอสปรุงรส ซีอิ๊ว ซุปก้อน ผงชูรสและน้ำปลาในการปรุงอาหาร
• หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดองทุกชนิด รวมทั้งน้ำผลไม้กระป๋องด้วย
• หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่
• หลีกเลี่ยงของหวานเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวและระดับไขมันเพิ่มสูงขึ้นได้
• หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มพวก ชา กาแฟ ซึ่งมีสารคาเฟอีนสูงกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักขึ้น สูบฉีดโลหิตแรงขึ้น เป็นอันตรายสำหรับผู้มีความดันโลหิตสูง
• ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีไขมันต่ำแต่มีคุณค่าทางอาหารสูง
• ควรรับประทานอาหารจำพวกแป้งไม่ฟอกสี เช่นข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต ข้าวโอ๊ต
• หากต้องการรับประทานอาหารจำพวกถั่วเพื่อเสริมโปรตีนในร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานพวกถั่วอบเนย หรือถั่วอบเกลือ เพราะมีรสเค็มจะส่งผลต่อความดันในร่างกายได้
• ควรรับประทานนมพร่องมันเนย ถั่วต่างๆ เมล็ดธัญพืช
• เลือกใช้ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น ในการปรุงอาหาร และไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันมากๆ
• สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วต้องกินยาขับปัสสาวะ ควรกินส้มหรือกล้วยประจำ เพื่อทดแทนโปแตสเซียมที่เสียไปในปัสสาวะ

ยาหมอเส็งช่วยได้ไหม?

ยาบำรุงร่างกายเบอร์2 ตราหมอเส็ง มีส่วนช่วยในการทำความสะอาดหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ไม่เปราะ แตกง่าย ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น จึงเหมาะกับการบำรุงรักษาร่างกายให้เกิดสมดุลกัน ให้มีการบำบัด เยียวยา รักษาด้วยตัวของมันเ

วัยทอง Old age


วัยทอง Old age


วัยทองในผู้หญิง คือวัยหมดประจำเดือนอายุประมาณ 45-55 ปี โดยเฉลี่ยอายุ 49 ปี ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ตัดรังไข่ก็สามารถเกิดวัยทองได้ทันทีหลังตัดรังไข่ เมื่อถึงวัยนี้รังไข่จะหยุดทำงาน และไม่มีการตกไข่อีกต่อไป ทำให้ไม่มีประจำเดือนและไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่อีก จึงทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย


อาการในวัยทอง เมื่อไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- มี อาการทางระบบเส้นเลือด เช่น อาการร้อนวูบวาบ โดยเฉพาะส่วนบนของร่างกาย แก้ม คอจะแดง เหนื่อยง่าย ใจสั่น มีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือบางคนมีอาการหนาวสั่น อาการนี้จะเป็นนานประมาณ 1-5 นาที
- เต้านมมีขนาดเล็กลง
- ผิวหนังจะบางลง แห้งและเกิดเป็นแผลได้ง่าย มีอาการคันตามผิวหนัง หรือเหมือนมีมดไต่ หรือมดกัดตามผิวหนัง
- เส้นผมจะหยาบแห้งและบางลง หลุดร่วงได้ง่าย ไม่ดกดำเป็นเงางามเหมือนก่อน
- มี อาการทางกล้ามเนื้อและผิวหนัง ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองจะมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ หรือปวดตามข้อและกระดูก กระดูกจะเริ่มบางลง เนื่องจากมีการทำลายเซลล์กระดูกเพิ่มขึ้น
- อาการทางระบบสืบพันธุ์ ผนังเยื่อบุช่องคลอดจะบางลง ช่องคลอดขยายตัวไม่ดี ช่องคลอดแห้ง ทำให้มีอาการเจ็บหรือแสบในช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ และมีการติดเชื้อในช่องคลอดบ่อยขึ้น และเกิดภาวะช่องคลอดหย่อน เรียกว่า กระบังลมหย่อน
- อาการทางระบบปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ดเวลาไอ จามหรือหัวเราะ นอกจากนี้เยื่อบุปัสสาวะยังบางลง ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย และอักเสบได้บ่อย
- มีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เร็ว เครียดง่าย หงุดหงิด โกรธง่าย ใจน้อย ควบคุมอารมณ์ได้ยาก บางคนหลงลืมง่าย เวียนศีรษะ ซึมเศร้า
- มีปัญหาเรื่องการนอน นอนหลับยาก ตื่นเร็ว
- ความรู้สึกทางเพศลดลง บางคนอาจมีความรู้สึกทางเพศสูงขึ้น
- มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่าง เอวจะเริ่มหายไป ไขมันเพิ่ม ผิวหนังเหี่ยว
- ร่างกายมีภูมิต้านทานลดลง ทำให้ติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย


เมื่อเข้าสู่วัยทองมักจะมีโรคต่าง ๆ ตามมา คือ เกิดโรคกระดูกพรุนได้เร็ว โรคหลอดเลือดหัวใจ และสมอง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก

การปฏิบัติตัวเมื่อเข้าสู่วัยทอง ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ไขมันน้อย รับประทานพวกผักใบเขียวและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี สูง ข้าวซ้อมมือ ดื่มนมพร่องหรือขาดมันเนยเป็นประจำ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียม และไม่ควรสูบบุหรี่ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ สุดท้ายทำจิตใจให้สบาย

ยาสตรีเบอร์2 ตราหมอเส็ง มีส่วนผสมของว่านชักมดลูกและยาบำรุงร่างกายของหมอเส็ง ช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มฮอร์โมนเพศหญิง ปรับระบบไหลเวียนโลหิต เมื่อทานยาสตรีเบอร์2 ตราหมอเส็งแล้ว จะทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณดี มีน้ำมีนวล ร่างกายแข็งแรง ไม่หงุดหงิด อ่อนเพลียง่าย

โลหิตจาง Anemia


โลหิตจาง Anemia


ภาวะ โลหิตจางหมายถึงเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดมีปริมาณหรือคุณภาพต่ำกว่าปกติ ทำให้ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อ มีปริมาณลดลง แม้ว่าภาวะโลหิตจางอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุก็ตาม แต่การขาดสารอาหารโดยเฉพาะธาตุเหล็กซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน นั้นจัดเป็นสาเหตุสำคัญที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและวัยรุ่น สตรีมีประจำเดือน สตรีมีครรภ์และหลังคลอด ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคกระเพาะและลำไส้ นักกีฬาและผู้ใช้แรงงาน


ภาวะ โลหิตจางมิได้มีผลต่อระบบการไหลเวียนเลือดเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ในร่างกายเช่น ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหารเป็นต้น อาการของภาวะโลหิตจางจึงพบได้ทั่วไปและไม่จำเพาะเจาะจง เช่น
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น เวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย
- สมองล้า หลงลืมง่าย ขาดสมาธิการทำงาน เรียนหนังสือไม่ดีเท่าที่ควร
- เบื่ออาหาร ท้องอืดท้องเฟ้อ ทำให้ขาดสารอาหารมากขึ้นและส่งผลให้ภาวะโลหิตจางรุนแรงขึ้น
- ภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่ายโดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ ถ้าเจ็บป่วยหรือมีบาดแผลมักจะหายช้า
- มีอาการซีดของใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น ฝ่ามือ เล็บ
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่อาจทำให้หัวใจขาดเลือดรุนแรงขึ้น เจ็บหน้าอกง่ายขึ้นและทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้

แพทย์แผน โบราณกล่าวว่า ภาวะโลหิตจางจัดอยู่ในกลุ่มโรคของเลือดพร่อง ซึ่งครอบคลุมถึงความผิดปกติทั้งปริมาณและคุณภาพของเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ เช่น ภาวะโลหิตจาง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำเป็นต้น ความผิดปกติของสารเคมีและสารอาหารในเลือดตลอดจนการไหลเวียนของเลือดที่ช้าลง อาการของเลือดพร่องจึงเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ ระบบของร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามืด ตาลาย ใจสั่น นอนไม่หลับ ฝันบ่อย หน้าตาซีดเซียว ขี้หลงขี้ลืม ขาดสมาธิ เล็บเปราะ มือเท้าเหน็บชา เบื่ออาหาร ประจำเดือนน้อย มีบุตรยาก แท้งบุตร ภูมิคุ้มกันต่ำเป็นหวัดง่าย ติดเชื้อง่ายผิวหนังหยาบกร้าน เป็นต้น


ยาบำรุงร่างกายเบอร์ 2 ตราหมอเส็ง เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพของหมอเส็งที่ช่วยปรับสมดุล และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น คุณจึงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ไม่อ่อนเพลียง่ายและทนต่อภาวะความเครียดได้ อาการนอนไม่หลับ ฝันบ่อย ใจสั่น เวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย ขาดสมาธิ ขี้หลงขี้ลืม ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นหวัดบ่อย และอาการอื่น ๆ ของภาวะโลหิตจางจะค่อย ๆ ทุเลาและอาจหายไปในที่สุด

โรคร้ายเป็นได้อย่างไร


โรคหลอดเลือดสมอง


สมองเป็นศูนย์บัญชาการของร่างกาย ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อทุกประเภท ประสานการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย รวมทั้งการทำงานในระดับสูงของระบบประสาท เช่น ความจำ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ การคำนวณ การเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษา เป็นต้น แม้ว่าสมองมีน้ำหนักเพียง 2-3% ของน้ำหนักตัวแต่กลับต้องการเลือดมากถึง 20% ของร่างกายมาหล่อเลี้ยง หากสมองขาดเลือดเพียง 5 นาทีสมองก็จะถูกทำลายอย่างถาวร และสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อหลอดเลือดสมองเสื่อมลงจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น ไขมันในเลือดสูง เลือดมีความหนืดมากไป เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง อาการเหล่านี้ก็จะทำให้หลอดเลือดสมองแข็งตัว ตีบ ตัน หรือแตก ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดอาการขี้หลงขี้ลืม ความจำเสื่อม จนถึงอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตฉับพลันได้

หลอดเลือดสมองตีบ
เมื่อ หลอดเลือดสมองแข็งตัวและตีบลงมากๆ หากมีลิ่มเลือดมาอุดตันหลอดเลือด จะทำให้สมองขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบพบมากในผู้สูงอายุ เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวจากไขมันเกาะตามผนังหลอด เลือด อีกทั้งยังเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าหรือน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานจะมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้ก่อนวัยอันควร กลุ่มคนเหล่านี้มักมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นอัมพาตก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากขึ้น

หลอดเลือดสมองอุดตัน
ลิ่ม เลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดส่วนอื่นของร่างกาย ซึ่งมักจะมาจากลิ่มเลือดที่หัวใจหลุดลอยตามกระแสเลือดและมาอุดตันหลอดเลือด สมอง ทำให้เซลล์สมองตายเพราะขาดเลือด หลอดเลือดสมองอุดตันมักพบในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

หลอดเลือดสมองแตก
หลอด เลือดสมองที่เปราะบางแตกออก ทำให้เนื้อสมองโดยรอบตาย ซึ่งเป็นอันตรายที่ร้ายแรงอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ในเวลารวดเร็ว หลอดเลือดสมองแตกมักเกิดจากโรคความดันโลหิตสูง

7 สัญญาณเตือนภัยก่อนเป็นอัมพาต
อัมพฤกษ์ อัมพาตเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์เป็นเสมือนสัญญาณเตือนภัยก่อนเป็นอัมพาตภายใน 6-12 เดือน สัญญาณเตือนภัยมีดังนี้
- ไม่มีแรงหรือชาอย่าง เฉียบพลันที่ใบหน้า แขน หรือขาซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย มือหยิบของแล้วร่วงตก อาการมักเกิดขึ้นชั่วขณะและหายเองภายในเวลา 24 ชั่วโมง
- ตามัวหรือมองไม่เห็นอย่างเฉียบพลันโดยเฉพาะถ้าเป็นกับตาข้างเดียว
- ลิ้นแข็งหรือชา พูดไม่ชัดหรือพูดลำบากแต่รู้ตัวดีและสามารถกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
- วิงเวียนศีรษะบ่อย เป็นลม แต่รู้สึกตัวรวดเร็ว
- ความจำเสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด
- นึกอะไรช้าลง สับสน ขาดสมาธิ สมรรถภาพการทำงานลดลงอย่างไร้เหตุผล
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่ควรนิ่งนอนใจ


ยาบำรุงร่างกาย เบอร์ 2 ตราหมอเส็ง ช่วยปรับสมดุล และรักษาพลังงานภายในร่างกาย ให้เป็นปกติ กระตุ้นให้ร่างกายมีการบำบัด เยียวยา เสริมสร้างตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

***หมาย เหตุ ผมเพิ่งได้รับ email ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเส้นเลือดสมองอุดตัน คือหากเจอใครก็ตามที่อยู่ๆก็วูบ ล้มลง สักพักก็ลุกขึ้นมาได้ ขอให้ทดสอบเขาดังนี้

1. S=Smile ให้เขาลองยิ้มดู

2. T=Talk ให้เขาพูด โดยพูดประโยคง่ายๆ เช่น"วันนี้อากาศดีนะ"

3. R=Raise ให้เขาลองยกมือทั้งสองข้างขึ้น

ถ้าเขามีอาการทำข้อใดข้อหนึ่งลำบาก ขอให้รีบส่งโรงพยาบาลด่วน!

เพราะในกรณีตัวอย่าง พอเขาลุกขึ้นมาได้ ต่างคนก็คิดว่าเขาไม่เป็นไร แต่พอกลับถึงบ้าน เขาก็เสียชีวิตทันที

เป็นข้อเตือนใจสำหรับคนที่เรารัก เรารู้จัก หรือใครก็ตามที่เราได้ไปพบเห็น คุณอาจช่วยชีวิตเขาได้ครับ