ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The power of Now


The power of Now


วันนี้ ผมอยากจะพูดถึงอุปนิสัยหนึ่ง ที่หยุดยั้งผู้คนจากการประสบความสำเร็จ นั่นก็คือการผลัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งอุปนิสัยนี้ จัดเป็นตัวบ่อนทำลาย โอกาสในการประสบความสำเร็จของเราได้อย่างร้ายแรง เพราะยิ่งเราผลัดวันประกันพรุ่งมากเท่าไหร่ เรายิ่งกำลังทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นก็คือเวลา ในทุกวันนี้เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าคุณนั้นจะเก่งมากเพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ คุณรวดเร็วเพียงใด ในเวทีการแข่งขันต่างหาก และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณควรลงมือทำเดี๋ยวนี้!

ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน รวมถึงตัวผมเอง ล้วนแล้วแต่มีนิสัยของการผัดวันประกันพรุ่งนี้อยู่ในตัว ถึงแม้บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ผลัดแบบวันต่อวัน แต่ผลัดการทำสิ่งที่สมควรให้ล่าช้าไป นั่นก็จัดเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งผมบอกได้เลยว่าถ้าเราไม่สามารถขจัดนิสัยเสียนี้ออกไปได้ เราย่อมไม่สามารถที่จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

ด้วยการที่เราผลัดสิ่งที่เรารู้ว่าสมควรทำ ออกไป สมองของเราจะเกิดความกังวลจากสิ่งที่สมควรทำ แล้วยังไม่แล้วเสร็จ และยิ่งเรามีเรื่องราวที่ผลัดออกไปมากเท่าใด เราก็ยิ่งไม่รู้ได้เลยว่าต่อไปเราต้องลงมือทำสิ่งใด เพราะสมองของเราถูกยัดด้วยเรื่องราวมากมายเต็มไปหมด และสับสนจนไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดก่อน เพราะดูเหมือนกับว่าทุก ๆ สิ่งนั้นมีความสำคัญสูงไปหมดเสียทุกเรื่อง และนอกจากการผลัดวันประกันพรุ่ง จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับสมองของเราโดยใช่เหตุแล้ว การผลัดวันประกันพรุ่งยังเป็นการผลัดความสำเร็จออกไป จากเดิมคุณจำเป็นต้องใช้เวลา 3-5 ปี ในการเกษียณจากธุรกิจเครือข่าย คุณอาจจะใช้เวลามากขึ้นหลายเท่า หรืออาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลย สาเหตุก็เพราะคุณไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่สมควรทำ คุณไม่ได้โทรหาผู้มุ่งหวัง คุณไม่ได้ออกไปแสดงแผน และนั่นเองทำให้คุณไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ ถึงแม้บางครั้งคุณอาจจะทำ แต่ถึงอย่างไรการทำนั้นอาจจะมีเหตุผลว่า คุณไม่สามารถผลัดวันได้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง

ในยุคปัจจุบัน การแข่งขันที่สำคัญที่สุดที่คุณจำเป็นต้องช่วงชิง นั่นก็คือเวลา คุณจำเป็นต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อทำให้ตัวคุณนั้นเร็วกว่าคู่แข่ง บางครั้งคุณอาจจะอยู่ในธุรกิจที่ดี แต่ถ้าคุณช้า คุณจะทำลายโอกาสของตัวคุณเองลงไป เพราะคู่แข่งจะตัดหน้าคุณก่อน และทำให้คุณไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ ทั้ง ๆ ที่คุณสมควรได้รับอย่างที่สุด

การลงมือทำในสิ่งที่คุณรู้ว่าคุณต้องทำ เป็นสิ่งจำเป็น อย่าได้ผลัดวันออกไป ถ้าคุณยังต้องการประสบความสำเร็จ เพราะถึงอย่างไร คุณก็จำเป็นต้องทำอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะทำในสถานการณ์ใด ระหว่างทำตอนที่คุณยังมีเวลาเหลือเฟือ หรือทำตอนที่คุณไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว คุณสามารถเลือกได้

หัวข้อต่อไป ผมจะพูดถึงเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการ การทำงานของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถสร้างผลลัพธ์ให้กับคุณได้อย่างมหาศาล กับการจัดการเวลาที่มีค่าของคุณ ขอให้ติดตาม

หนทางในการสร้างพลังงานในตัวคุณ


หนทางในการสร้างพลังงานในตัวคุณ

หลาย ครั้ง คุณอาจสงสัยถึงสาเหตุที่คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จในการปิดการขาย การปิดใบสมัครได้ สาเหตุหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญนั่นก็คือ คุณไม่เข้าใจหลักการของการจัดการกับพลังงาน เพราะการพูดคุย การสื่อสาร การขาย ทุก ๆ งานล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องอาศัยพลังงานด้วยกันทั้งสิ้น คุณจึงจำเป็นต้องรู้จักกับวิธีการสร้างพลังงานในตัวคุณ และสามารถที่จะควบคุมระดับพลังงานในการสนทนา ให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ และหลังจากนั้น คุณจะสามารถได้ทุก ๆ สิ่งที่คุณต้องการ

เรื่องของพลังงาน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่อาจจะไม่มีใครเคยสังเกตุเห็นเท่านั้น แต่ถ้าคุณลองสังเกตุ คุณจะเห็นถึงความสำคัญของพลังงาน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมทุก ๆ การเปิดคอนเสริ์ตจำเป็นต้องใช้เพลงเร็ว หรือเพลงที่มีพลังงานสูง นั่นก็เพราะการทำเช่นนั้น จะเป็นการเพิ่มพลังงานให้มีระดับที่สูงขึ้น ผมเองชื่่นชอบการดูคอนเสริ์ต เพราะเป็นการเล่นกับพลังงานที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งคอนเสริ์ตจะสนุก หรือไม่สนุกนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้แสดงจะสามารถควบคุมระดับพลังงานได้ดีเพียงใดนั่นเอง

เช่นเดียวกันกับงานของคุณ คุณไม่สามารถออกไปแนะนำธุรกิจให้กับผู้มุ่งหวังได้ ด้วยการใช้ระดับพลังงานปกติธรรมดา ที่คุณใช้ในการพูดคุย เพราะนั่นไม่แตกต่างกับการบอกเล่า จุดประสงค์ของคุณไม่ใช่การบอกเล่าโอกาสทางธุรกิจ แต่เป็นการทำทุก ๆ ทาง เพื่อชักจูงให้ผู้มุ่งหวังเห็นโอกาสทางธุรกิจต่างหาก คุณจึงจำเป็นต้องทำมากกว่าการพูดคุย และนี่คือสาเหตุที่คุณจำเป็นต้องรู้จักกับการจัดการกับระดับพลังงาน

ผมอยากจะบอกเคล็ดลับการแนะนำธุรกิจ หรือการขายให้กับคุณ ถ้าคุณสามารถทำให้ผู้มุ่งหวังตื่นเต้น ในสิ่งที่คุณต้องการสื่อสาร คุณย่อมสามารถปิดการขายได้อย่าง 100% และนั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ทำการพิสูจน์แล้วจากการทดลองทำจริงของผม แต่ปัญหาสำคัญก็คือคุณจะทำอย่างไร จึงจะสามารถทำให้ผู้มุ่งหวังตื่นเต้นได้ ?

การสร้างความตื่นเต้นให้เกิดขึ้น มีทางเดียวที่สามารถทำได้ นั่นคือการเพิ่มระดับพลังงานให้สูงขึ้น คุณจึงไม่สามารถใช้การบอกเล่า เพื่อแนะนำธุรกิจได้ ซึ่งเคล็ดลับในการเพิ่มระดับพลังงาน นั้นก็คือคุณจำเป็นที่จะต้องเป็น CEO ซึ่ง CEO ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึง Chief Executive Officer แต่หมายถึงการเป็น Chief Energy Officer คือผู้ที่สามารถสร้างพลังงานออกมาได้ตลอดเวลา ด้วยการที่คุณสร้างพลังงานจากตัวคุณออกมา ผู้มุ่งหวังที่ได้รับพลังงานนั้นจะรับสัมผัสได้ และคุณสามารถควบคุมทุก ๆ สิ่งในบทสนทนานั้นได้ ถ้าคุณเป็น CEO ได้สำเร็จ การสร้างพลังงานจากตัวคุณ พลังงานนั้นจะสามารถส่งไปยังผู้คนรอบข้าง และคุณจะสามารถควบคุมทุก ๆ สิ่งให้เป็นไปตามที่คุณต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างสภาวะให้ผู้มุ่งหวังตื่นเต้น จากพลังงานที่ตัวคุณปล่อยออกมา เป็นโอกาสในการที่คุณจะสามารถปิดการขาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่ึงขึ้น แต่คุณอาจจะประสบปัญหาว่าคุณจะสามารถกลายเป็น CEO ได้อย่างไร หัวข้อต่อไปผมจะมาพูดถึงความลับของการเป็น CEO นี้ให้แก่คุณ

วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน


วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน


“เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่เงินก็สามารถซื้อทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้บนผืนพิภพแห่งนี้ ”
พูด อย่างนี้ มิได้มีเจตนาบูชาเงินเป็นสรณะ แต่ถ้าคุณคิดว่าตนเองเป็นคนดี ถามว่า ถ้าเงินอยู่กับคนดีๆ มีอะไรเสียหายไหม วันหนึ่งคุณเกิดมีเหตุจำเป็นต้องใช้ หรือ อยากช่วยใครสักคน แล้วมีเงินอยู่ในมือที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ถามว่าดีไหม


เพียงแต่ว่า เงินก้อนนั้นต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจริยธรรม ไม่ไปเบียดเบียนใคร


เรา มักจะพูดกันว่า ถ้ามีเงินเป็นล้าน จะเป็นเศรษฐี ถามจริงๆว่า ถ้ามีเงินเพียง 1 ล้านบาทนับเป็นเศรษฐีได้จริงๆหรือ เดี๋ยวนี้ 1 ล้านบาทไม่พอซื้อบ้าน ไม่พอซื้อรถยี่ห้อแพงๆ , ไม่พอรักษาโรคร้ายแรง เงิน 1 ล้านบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย ในบทความนี้ จึงตั้งสมมติฐานว่า เศรษฐีควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ไปจี้ไปปล้นใครมา

1.เป็นเจ้าของกิจการ
ใครๆ ก็รู้ว่า เป็นเถ้าแก่จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สถิติพบว่าธุรกิจเปิดใหม่ จะล้มหายตายจากไปในปีที่สองถึง 70 % และจะอยู่อย่างยั่งยืนเกิน 10 ปีได้เพียง 3-5 % เท่านั้น แต่ผู้คนทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจกันไม่เว้นแต่ ละวัน อย่างน้อยก็ขอลองสักตั้ง ไม่ว่าจะเสี่ยงเพียงใด มาดูว่าเจ้าของธุรกิจ ทำเงินกันอย่างไร

สูตรที่มักจะใช้อธิบายกำไรของเจ้าของธุรกิจคือ
ยอดขาย – ต้นทุนคงที่ – ต้นทุนแปรผัน = กำไร

เพื่อ ทำให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจหนึ่งหากมียอดขายต่อเดือนที่ 1 ล้านบาท มีต้นทุนคงที่ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผัน 200,000 บาท ดังนั้น หากเจ้าของธุรกิจอยากมีกำไร เขาต้องผลักดันยอดขายให้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ถ้ายอดขายต่ำกว่า 1 ล้านบาทจะขาดทุนทันที

เช่น ถ้ายอดขาย 1,500,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาทคงเดิม ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 1.5 เท่าของเดิม ซึ่งเท่ากับ 300,000 บาท เดือนนั้นจะกำไร 1,500,000 - 1,100,000 = 400,000 บาท


แต่ ถ้า ยอดขายเป็น 3,000,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 3 เท่าซึ่งเท่ากับ 600,000 บาท เดือนนั้นจะมีกำไรเท่ากับ 3,000,000 บาท – 1,400,000 = 1,600,000 บาท


ใน ทำนองกลับกัน ถ้ายอดขายตกลงมาเหลือ 500,000 บาทต้นทุนคงที่ยังคงเท่ากับ 800,000บาท ต้นทุนแปรผันอาจลดลงครึ่งหนึ่งของเดิมเท่ากับ 100,000 บาท เดือนนั้นจะมียอดขาดทุนเท่ากับ 500,000 - 900,000 = 400,000 บาท


ตัว เลขข้างต้นเป็นตัวเลขสมมติคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งในชีวิตจริงจะซับซ้อนกว่านี้ และแต่ละธุรกิจก็มีสัดส่วนของตัวเลขต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันแตกต่างกันไป


แต่ ก็ทำให้เราเข้าใจว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น รวยเร็ว และ เจ๊งเร็ว พอๆกัน ขึ้นกับฝีมือ ขึ้นกับความต้องการของตลาด ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง


หาก สร้างธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะร่ำรวยเงินไหลมาเทมา โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงิน 10 ล้านบาทจึงเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเถ้าแก่เหล่านี้


ปัจจุบัน พบว่า มีเถ้าแก่หัวหมอที่ต้องการรวยลัดยิ่งๆขึ้น เขาใช้วิธีสร้างธุรกิจแล้วขายต่อทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะได้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีส่วนกำไร


ถ้าสร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนมั่นคงแล้วขายต่อ คงจะไม่มีใครว่าอะไร เพราะอยู่ในกรอบ อยู่ในเกณฑ์


แต่ ถ้าใช้วิธีสร้างข่าว สร้างภาพให้หุ้นตัวเองด้วยการเทคโอเวอร์ , ขอสัมปทาน , ปั้นสารพัดโปรเจค์ขึ้นมาขายฝัน แล้วขายออกเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง


คน ขายรับเงินล่วงหน้าของประมาณการยอดขาย สิทธิสัมปทาน และ ค่านิยม( GOOD WILL )ต่างๆ ที่ตอบสนองไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้คนซื้อไปรับความเสี่ยงแทน ว่ารายได้ในอนาคตจะได้ตามที่นักวิเคราะห์ขายฝันให้หรือเปล่า


2.เป็นนักบริหารระดับสูง

สมัย ก่อน พวกเถ้าแก่มักจะพูดสอนลูกหลานว่า เวลาเรียน ไม่ต้องเรียนสูงนัก พอให้จบปริญญาตรีแล้วมาทำการค้าจะร่ำรวยกว่า พวกที่เรียนสูงจบด๊อกเตอร์ สุดท้ายก็ไปเป็นลูกน้อง รับจ้างบริหารให้พวกเถ้าแก่ รับค่าจ้างเดือนละ 80,000 - 100,000 บาท แต่ไม่รวย


สมัย นี้ เราดูถูกนักบริหารมืออาชีพไม่ได้เสียแล้ว หากมีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากเถ้าแก่หรือผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทแล้ว เขาจะสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ


รายได้ขนาดนี้มาได้อย่างไร


บริษัท ใหญ่ๆระดับประเทศ การที่ผู้บริหารสูงสุดจะมีเงินเดือนๆละ 500,000 - 1,000,000 บาท ไม่ใช่เรื่องแปลก และยิ่งถ้าได้เป็นกรรมการบริษัทในเครืออีก 4-5 แห่ง จะได้รับเบี้ยประชุมแห่งละ 300,000 - 500,000 บาทต่อปีทีเดียว


บางบริษัท ใช้วิธีตั้งโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรให้ตามยอดขาย ถ้าหากว่าสามารถทำผลงานได้ตามเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู บริษัทใหญ่ๆต่างสร้างสถิติยอดขายสูงสุดใหม่ ทำให้ผู้บริหารร่ำรวยไปตามๆกัน หลายคนได้โบนัส 3-5 ล้านบาท โดยไม่คาดฝัน


อีก ช่องทางที่สร้างรายได้เป็นกอบกำให้ผู้บริหารคือ ESOP ( EMPLOYEE STOCK OPTION PLAN ) ที่กรรมการบริษัทมักจะลงมติมอบสิทธิในการซื้อหุ้นให้กับผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เพื่อจูงใจให้สร้างกำไรให้บริษัท ปรากฏว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า 70 % มักมอบให้กับผู้บริหาร 5 -10 คนแรกของบริษัท บางคนได้สิทธิจองซื้อถึง 10 ล้านหุ้น ลองนึกภาพดูว่า หากสามารถผลักดันกำไร จนทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือราคาใช้สิทธิสัก 5-6 บาทต่อหุ้น เขาจะทำกำไรได้คนละ 50-60 ล้านบาททีเดียว


นักบริหารมืออาชีพจึงเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามไม่ได้


3.เป็นนักขายตรง


คน ไทย มักรังเกียจอาชีพงานขาย ดูถูกว่าต่ำต้อย ขณะที่ฝรั่งเขามองว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะและใช้ความสามารถสูง เราจึงพบว่า ผู้บริหารของบริษัทฝรั่งหลายคนมักมีพื้นฐานเป็นนักขาย หรือ อยู่ฝ่ายขายมาก่อน


งาน ขายตรง ไม่ว่าประกันชีวิต เครื่องสำอางค์หรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30 % ไม่ว่าจะเป็นการขายครั้งแรกหรือเมื่อขายซ้ำ ยกเว้นขายประกันชีวิตที่จะได้มากในปีแรก


ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30 % ของค่านายหน้าของลูกทีม ซึ่งน่าจะตกประมาณ 10 % ของยอดขาย


ลอง นึกภาพดูว่า ถ้าทีมงานขายนั้นสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว หรือ ตัวนักขายเองหากขยันพบลูกค้าจนสามารถทำยอดขายได้ 10 ล้านบาทต่อปี เขาก็สามารถมีรายได้ 3 ล้านบาทต่อปีได้เช่นกัน


4.เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ


เรา คงเคยได้ยิน เรื่องแพทย์เฉพาะทาง , ทนายความผู้เชี่ยวชาญ , สถาปนิกผู้โด่งดัง ที่สามารถทำเงินได้ปีละ 5 -10 ล้านบาท บางคนสามารถเรียกค่าปรึกษาเป็นนาที ตั้งราคาตามที่ตนเองพอใจ คนเหล่านี้ย่อมเป็นเศรษฐีได้ตามปรารถนา


ที่ เล่ามา เป็นกลุ่มหลักๆที่พอจะประมวลมาได้ว่า เป็นช่องทางที่คนทั่วไปจะมาดมั่นขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ ด้วยมือเปล่า ขณะที่บางอาชีพทำให้ตาย ขยันอย่างไร ก็ไม่มีทางรวย


แต่ คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า ทุกกลุ่มที่พูดมาทั้งหมด มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต้องขยันมุ่งมั่นและอดทนอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุความสำเร็จ


ว่าแต่ว่า คุณมีคุณสมบัตินี้แล้วหรือยัง ถ้ามี เงินล้าน เงินสิบล้าน ก็รอเป็นรางวัลชีวิตให้คุณได้เหมือนกัน

ความรู้จากแพทย์แผนจีน

อาจารย์ท่านแนะนำเคล็ดลับไว้ 12 ข้อ ดังต่อไปนี้


1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อยเพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้าง ถูหน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่ง ปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องอะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงาน คอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย(ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย (ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และ กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำและน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลังกาย เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินไป ทำให้เกิดสารพิษและการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้นทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่นการฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้เลือดและพลังไหลเวียนดี

เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และ ลมปราณที่ดีไปนานๆ ครับ

ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า

อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกินไป นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบได้แก่

1. ไข่เยี่ยวม้า: ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋: กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟ ทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

4. ผักดอง: ผักดองและของหมักเกลือ ทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

5. ตับหมู: ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกินหรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็ง เพิ่มขึ้น

6. ผักโขม ปวยเล้ง: ผักโขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า...มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกินหรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมหรือสังกะสีได้

7. บะหมี่สำเร็จรูป: บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกันบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกินหรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้

8. เมล็ดทานตะวัน: เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า...การกินมากเกินหรือบ่อยเกิน อาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น

9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้: กระบวนการหมักเต้าหู้ อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุหรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

10. ผงชูรส: คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัมหรือประมาณ 1 ช้อนชา การกินผงชูรสมากเกินหรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูง อาจทำให้ปวดหัวใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

สุดยอดอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี




เป็น ธรรมดาที่คนเราต้องมีอารมณ์เสีย หงุดหงิดบ้างใช่ไหมค่ะ แต่คุณสาวๆเคยรู้ไหมค่ะว่าวิธีการแก้อารมณ์เสียเหล่านั้นทำได้ไม่ยากเลยค่ะ แค่การเลือกรับประทานอาหารบางประเภท ก็สามารถช่วยให้คุณสาวๆ มีอารมณ์ดีขึ้นแล้วละค่ะ ว่าแต่ว่าอาหารที่ว่านั้นคืออะไรกันบ้าง อย่ารอช้าค่ะ รีบมาดูแล้วหามาทานกันเลยค่ะ

- ปลาแซลมอนและแม็กคาเรล ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำกันว่าเป็นอาหารที่เยี่ยมมากสำหรับมื้อดินเนอร์ ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้าน อนุมูลอิสระด้วย


- คาโนลาออยล์ (Canola Oil) เป็นน้ำมันจากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน ทำให้แนะนำกันว่าให้รับประทานได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยพยายามใช้น้ำมันนี้เวลาคุณทอดปลาแซลมอนหรือทำอาหารสุขภาพรับประทาน


- ผักโขมและถั่วสด ในผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ซึ่งช่วยให้อารมณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน นอกจากนั้นการรับประทานถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่มีคำแนะนำว่าถั่วกระป๋องจะมีสารอาหารน้อยกว่าถั่วสด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรเลือกรับประทานถั่วสดๆ เพื่อสารอาหารที่เต็มที่...ผสมถั่วลงในทูน่าสลัด หรือเพิ่มผักใบเขียวในชามสลัดของคุณก็จะเป็นมื้ออาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียว


- ถั่ว Chickpeas เป็น อาหารที่มีโฟเลตสูงแต่ไขมันต่ำ และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สามารถที่จะทานถั่วชนิดนี้แทนได้ เพราะ มีโปรตีนอยู่สูง แถมมีรสอร่อย นอกจากนั้นชิกพียังมีไฟเบอร์, ไอออน และวิตามินอีอยู่เยอะ มีคำแนะนำการประกอบอาหารง่าย ๆ จากถั่วชิกพีมาด้วยว่า ให้นำชิกพีกระป๋องมาเทเอาน้ำออก ผสมกระเทียมสับใส่ลงไป ใส่น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา ปั่นในเบลนเดอร์หรือเครื่องผสมอาหาร เติมเกลือพริกไทยหรือเครื่องปรุงรสที่ชอบ แค่นี้ก็จะได้อาหารสุขภาพที่นำมาจิ้มรับประทานกับผักสดได้อร่อย


- ไก่ เป็น อาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ซึ่งโดยหลักแล้วจะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา นอกจากนั้นในไก่ยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องคำนึงถึงนิดหนึ่งว่าการรับประทานหนังไก่จะช่วยเพิ่มไขมันให้กับ เราไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเลือกรับประทานอกไก่ที่ปราศจากหนังดีกว่าค่ะ เพราะให้พลังงานเพียง 106 แคลอรี/3.5 ออนซ์ (ประมาณครึ่งอก) เท่านั้น

ข้อมูลจาก S.WOMEN

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย



การนอน ดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ Overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้อง อืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสียที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ ถ้า นอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย Overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซียมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซียมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซียมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซียมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
การ นอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซียมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

ระบบเหงื่อ คน ที่ไม่มีเหงื่อออกจะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ ระบบ หายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้
แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ

ขอบคุณข้อมูล : HeyhaParty

ตับอักเสบ Hepatitis



ตับอักเสบ Hepatitis


ไวรัสตับอักเสบเอ ตัวเหลือง ตาเหลือง
โรค ไวรัสตับอักเสบเอ หรือโรคไวรัสลงตับเกิดจากการอักเสบของเซลส์ตับทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือน้อยลงเป็นผลให้เกิดการเจ็บป่วย โรคตับอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเชื้อไวรัสที่พบบ่อยคือเชื้อไวรัสตับอับเสบ เอ และ บี อาการส่วนใหญ่ที่พบมักมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรือโรคดีซ่านแบบเฉียบพลัน ประมาณร้อยละ 60-70 % ของผู้ป่วยมักเกิดจากเชื้อไว้รัสตับอักเสบเอ


อาการ
ตา เหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ในกรณีที่ตับอักเสบอย่างรุนแรงจนตับวาย อาจเป็นผลทำให้เสียชีวิตได้ อาการจะรุนแรงมากขึ้นตามอายุ ในผู้ใหญ่อาการมักจะเริ่มต้น ด้วยการมีไข้ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หลังจากนั้น ประมาณ 3-5 วันจะเริ่มปัสสาวะสีเข้ม และมีไข้ ตาเหลือง ตัวเหลือง ปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา
การติดต่อ
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อโดยการรับประทานอาหาร และดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
การป้องกัน
- รับประทานอาหารและน้ำที่สะอาด
- ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และควรใช้ช้อนกลาง
- ขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
- กำจัดขยะและสิ่งปฎิกูลเพื่อมิให้ปนเปื้อนไปสู่แหล่งน้ำและอาหารของชุมชนได้


ไวรัสตับอักเสบบี ..แม่มีเชื้อ.. ลูกมีโอกาสรับเชื้อ 90 %
เป็น การอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับ ซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ
การติดต่อ

- มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่สวมถุงยาง
- การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- ใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตัวร่วมกันและการเจาะหู
- ใช้แปรงสีฟันร่วมกัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ
- แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด ถ้าแม่มีเชื้อลูกสามารถมีโอกาสได้รับเชื้อ 90 %
- ถูกเข็มติดเชื้อตำจากการทำงาน
- รักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
- โดยการสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดคั่งที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส โดยผ่านเข้ามาทางบาดแผล
การปฎิบัติตัว
เมื่อ ท่านตรวจพบไวรัสตับอักเสบบี ท่านควรจะขอรับคำแนะนำจากแพทย์ในการดูแลตนเองและต้องคำนึงถึงบุคคลใกล้ชิด วิธีการปฎิบัติตัวหากท่านมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
- หากท่านเป็นตับอักเสบบีเฉียบพลัน ท่านไม่ต้องกังวลเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองและมีภูมิคุ้มกัน รับประทานยาและปฎิบัติตาม

คำแนะนำของแพทย์

- รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับท่านมีการอักเสบมากหรือน้อย
- บอกให้คนใกล้ชิดทราบ หากคนใกล้ชิดไม่มีภูมิและไม่มีเชื้อต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัส ตับอักเสบบี
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยาง
- อย่าบริจาคเลือด


ข้อมูลโดย โรงพยาบาลพญาไท

ปวดหลัง



ปวดหลัง คนทำงานหน้าคอมพ์ฯ

สาเหตุ ประมาณร้อยละ 80 ของอาการปวดหลัง มาจากอาการหลังตึง หรือการที่กล้ามเนื้อหลังเกร็ง เคล็ด หรือฉีกขาด มักส่งผลต่อส่วนล่างของช่วงหลังและลำคอ ซึ่งอาการหลังตึง หรือกล้ามเนื้อหลังฉีกขาด อาจจะมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวผิดท่า หรืออยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม การใช้กล้ามเนื้อส่วนเดิมซ้ำๆ การตกจากที่สูง อุบัติเหตุ หรืออาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา การยกของหนัก


อาการ เจ็บปวดแบบนี้จะหายไปภายใน 2-3 วันหลังจากกินยา หรือการยืดเหยียด และการพักผ่อน ในกรณีที่อาการปวดคงอยู่มากกว่า 4 สัปดาห์ ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น กระดูกหัก หรืออาการบาดจ็บอื่นๆ หมอนรองกระดูกเสื่อม ฯลฯ

อาการปวดหลัง มี 2 ลักษณะ คือ
1. อาการปวดบริเวณหลังส่วนล่าง ไม่มีอาการปวดร้าวลงขา จะปวดบริเวณสะโพก ต้นขา ก้นกบ ไม่ปวดต่ำกว่าหัวเข่า
2. อาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างและมีอาการปวดร้าวลงขา อาจจะทั้งสองข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่ง จะปวดต่ำกว่าหัวเข่า (น่อง แข้ง หลังเท้า ส้นเท้า ฝ่าเท้า บางครั้งรู้สึกเหมือนเป็นเหน็บ และอาการจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


อาการที่ควรพบแพทย์ทันที

1. ผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 55 ปี เริ่มมีอาการปวด
2. เริ่มปวดหลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือจากอาการบาดเจ็บอื่นๆ
3. มีอาการปวดบริเวณส่วนบนของกระดูกสันหลัง
4. แขนขา หมดแรง หรือรู้สึกปวดจี๊ดๆ คล้ายถูกไฟดูด
5. มีอาการเจ็บป่วยอย่างอื่นร่วม เช่น มีไข้ ปวดท้อง
6. รู้สึกเจ็บเมื่อยึดตัวไปข้างหน้า


การรักษาอาการปวดหลังและคอ

ส่วน ใหญ่มักหายได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการรักษาที่ซับซ้อน เพียงนอนพักผ่อน กินยาแก้ปวดหรือประคบเย็น อาการก็อาจจะดีขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่วัน หรือไม่เกินสัปดาห์ แต่หากไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์อย่างละเอียด ซึ่งเมื่ออาการมากจนถึงขนาดกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ แพทย์อาจจะวินิจฉัยด้วยการใช้วิธีผ่าตัด ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบัน สามารถผ่าตัดด้วยระบบไมโครสโคป (Microscope) ที่แผลเล็กเพียง 2-3 ซ.ม. พักฟื้นในโรงพยาบาลเพียง 2-3 วันก็กลับบ้านได้ หรือผ่าตัดด้วยระบบเอนโดสโคป (Endoscope) แผลเล็ก บอบช้ำน้อย ไม่ต้องตัดกล้ามเนื้อหรือกระดูก พักฟื้นในโรงพยาบาลเพียง 24 ช.ม. ก็กลับบ้านได้


การป้องกันอาการปวดหลัง

1. อย่าให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักอย่างเดียว สร้างกล้ามเนื้อมาช่วยรับน้ำหนัก นั่นคือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. อย่าให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากเกินไป ต้องรักษาน้ำหนักตัวให้พอดี อย่าให้อ้วนมากจนน้ำหนักเกิน อย่ายกของหนักเกินกำลัง
3. รักษาท่าทางการนั่ง ยืน เดิน ให้ถูกต้อง

นพ.วีระพันธ์ ควรทรงธรรม
โรงพยาบาลบำรุงราฎร์

การตลาดแบบ MLM คืออะไร



การตลาดแบบ MLM คืออะไร

MLM คืออะไรหรือ? ที่จริงแล้ว MLM ย่อมาจากคำว่า Multi Level Marketing การ ตลาดแบบหลายชั้น เรามาเรียกว่าธุรกิจเครือข่ายดีกว่านะ ปัจจุบันนี้เจ้าของธุรกิจหลายๆรายได้นำธุรกิจของตัวเองเข้าสู่ระบบเครือข่าย มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันมีข้อดีคือ ลดภาระค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ พ่อค้าคนกลาง ค่าขนส่งฯลฯ เมื่อภาระต่างๆเหล่านี้น้อยลง เจ้าของธุรกิจก็จะได้มีเวลามาพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการมากขึ้น มีบริษัทที่จดทะเบียนเข้าระบบเครือข่ายนับเป็นหมื่นๆบริษัทในอเมริกา อีกสองหมื่นกว่าบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน ส่วนในไทยก็ประมาณ 400-500 บริษัท เช่น A-Smart ของตระกูลอัศวโภคิน, โสมเกาหลีตังกุยจับ, FreshMart, Uniliver, Loxley, บริษัทยาและอาหารเสริมต่างๆ รวมทั้งข่าวที่ว่าเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังของไทยก็จะโดดเข้าร่วมวงด้วยเช่นกัน

คุณเห็นความจริงและแนวโน้มของธุรกิจเครือข่าย รวมทั้งโอกาส

ของเราที่มีต่อแนวโน้มนี้ไหม



ธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่การรับจ้างทำงานหรือเป็นลูกจ้างของบริษัท

แต่มันคือธุรกิจของคุณเอง การบริหารงานอยู่ในมือคุณ

แล้วคราวนี้คุณจะจัดการกับธุรกิจของคุณอย่างไร

บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM


บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่มีความจริงใจกับลูกค้า และสอนทีมงานให้เป็น
โดยควรจะมีมุมมองดังนี้

1. การแนะนำลูกค้า เราจะต้องคิดเหมือนลูกค้า ต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงความคุ้มค่าในการซื้อสินค้า กล่าวคือ สินค้าของธุรกิจใน MLM มักราคาแพงในเชิงของราคา แต่ในเชิงความคุ้มค่าแล้ว มักจะคุ้มค่ากว่าสินค้าทั่วไป หากผู้ขายไม่เคยทดลองใช้ ไม่เคยเก็บข้อมูลการใช้ด้วยตนเองแล้ว จะไม่มีวันทราบเลยว่า สินค้านั้นคุ้มค่ากับลูกค้าของเรา

2. สินค้าใดหากเราไม่เคยใช้ เราไม่มั่นใจ เราจะไม่นำเสนอ แต่หากลูกค้าสนใจเอง และตัดสินใจซื้อจาก catalog นั่นเป็นสิทธิของลูกค้า

3. เราต้องเน้นสินค้าที่เรามีความชำนาญและถ่ายทอดความรู้ของเราไปให้ทีมงานฟัง สอนให้ทีมงานสะสมความรู้ในสินค้า พิสูจน์ความคุ้มค่าของสินค้าให้กับทีมงาน เพื่อที่ทีมงานของเราจะได้แนะนำสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ



4. คัดสรรทีมงานที่จะเข้ามาในเครือข่ายของตนอย่างพิถีพิถัน เพราะหากเราไปหลอกเขามา เราจะเหนื่อยและเสียเวลาในการสอน สู้คัดบุคคลที่มีความเชื่อมั่นในธุรกิจ เชื่อมั่นว่าธุรกิจ นี้เป็นอนาคตของเขา จะดีกว่ามากเพราะเขาจะมุ่งมั่น ตั้งใจ และดูแลลูกค้าเขาเป็นอย่างดี ซึ่งผลที่ตามมาคือ องค์กรของเราก็จะเติบโตอย่างมั่นคง (โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ล้มเหลวในธุรกิจ MLM มักใจร้อน ใช้วิธีสุ่มคนให้เข้ามาเป็นจำนวนมากๆเข้าไว้ และสอนให้ใช้สินค้ามากๆ ซึ่ง Upline ก็หวังประโยชน์จากการใช้สินค้าของ Downline สุดท้าย Downline ขายไม่เป็น Downline ก็ตาย แล้วไม่นาน Upline ก็ตายตามไปด้วย)

5. ต้องสอนให้ทีมงานตกปลาเป็น หมายถึงต้องสอนให้ทีมงานดูแล เอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี แนะนำสินค้าที่ดีให้กับลูกค้า เมื่อชื่อเสียงเราดี ลูกค้าของเราก็จะขยายชื่อเสียงของเรา ให้เอง เราก็จะค่อยๆมีลูกค้ามากขึ้น นั่นก็หมายถึง รายได้เรามากขึ้นด้วย (แต่หากใครคิดว่าจะมีรายได้มากโดยใช้เวลาสั้นๆนั้น เข้าใจผิด!!! ส่วนใหญ่เป็นภาพลวงตา เพราะผู้ขายมักจะ ขายคนรอบข้างแบบไม่ค่อยเข้าใจสินค้า จึงทำให้เหมือนหลอกขาย ทั้งญาติ เพื่อนฝูง คนรู้จัก สุดท้ายก็จะเสียญาติ เพื่อนฝูงและคนรู้จักไปทั้งหมด นี่แหละสาเหตุของความล้มเหลวในธุรกิจ MLM ทั้งเสียชื่อ และชื่อเสียไปเลย)

6. เข้าฟังการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพราะการฟังผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยกระตุ้นให้เรามีความฮึกเหิมมากขึ้น แต่การฟังต้องฟังอย่างมีสติ วิธีการแต่ละอย่างนั้นดี แต่ต้องนำมาปรับ ใช้กับจริตของตัวเราเอง วิธีที่ดีอาจเหมาะสำหรับคนบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคน ต้องไม่โลภ อยากเลื่อนระดับเร็วๆ เพื่อหวังรายได้ที่มากขึ้น ถ้าขาดสติก็จะนำไปสู่ความคิดที่จะ หลอกขายสินค้า ตุนสินค้า ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ จะนำเราไปสู่ความเสื่อมขององค์กรเอง

7. ต้องใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนโต แต่ให้ทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะความใจร้อน มักสะท้อนความโลภ จนลืมหลักการของผู้แทนจำหน่ายที่ดี ซึ่งต้องจริงใจกับลูกค้า และนำเสนอสิ่งที่คุ้มค่ากับลูกค้าเท่านั้น

8. ไม่ท้อแท้ง่าย ต้องอดทน ทุกธุรกิจย่อมมีคนชอบและไม่ชอบทั้งนั้น หากมีคนไม่เข้าใจเรา ก็พยายามอธิบายให้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ได้เท่าไหนเอาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเครียดนะ จ้ะ เพราะความเครียดจะเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายอีกนานับประการ เมื่อเราอดทนและสามารถอยู่รอดได้ในธุรกิจนี้ เราก็จะมีลูกค้าเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง สาม สี่ ..... นั่นหมายถึงเราก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามตัว

9. ควรเริ่มทำตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เพราะว่าบุคคลหลายคนที่ต้องรีบร้อนโตเพราะตัวเองมีภาระมาก ต้องใช้เงินมาก จึงคิดหาวิธีที่จะหลอกระบบ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือวิธีที่ผิด เพราะลืม พื้นฐานของตัวเอง เพราะลืมไปว่ารายได้ของเรานั้นมาจากการสอนทีมงานให้ดูแลลูกค้าของพวกเขาเป็น และมาจากการดูแลลูกค้าของเราเอง หากไม่ทำสองสิ่งนี้ มามัวแต่จะหลอกระบบ สุดท้ายระบบก็ฆ่าเราเอง หากเราเริ่มตั้งแต่สมัยเรียน ภาระไม่มี ก็จะไม่รีบร้อน ค่อยๆทำธุรกิจของเราไป ค่อยๆโต เรียนจบมาก็สมัครทำงานตามปกติ ทำ MLM เป็น Part time จนรายได้มากพอ ค่อยออกมาทำเต็มตัว ไม่ต้องคอยมาทนนายบ่น นายว่าเช้าเย็น

10. ต้องทำด้วยความเสียสละและมีคุณธรรม การทำอย่างเสียสละคือการช่วยให้ทีมงานประสบความสำเร็จก่อน เราจึงจะประสบความสำเร็จ ต้องให้ทีมงานมากกว่าที่เขาสมควรได้รับ การ ช่วยเหลือต่างสายงานบางครั้งก็จำเป็นต้องทำ ด้วยความใจกว้าง ทำอย่างมีสติ จริงใจ ส่วนเรื่องคุณธรรมนั้นสำคัญอย่างยิ่ง อย่าลืมว่าเรากำลังอยู่ร่วมกับ คน เราจึงต้องไม่ริษยา ไม่นินทา ว่าร้ายผู้อื่น ไม่แย่งทีมงานคนอื่น ไม่โกง ไม่โกหก ไม่ก่อปัญหาชู้สาว ไม่เหยียบหัวทีมงานเพื่อขึ้นตำแหน่ง ไม่ลืมตัว บางคนเพียงแค่ประสบความสำเร็จในระดับปานกลางเท่านั้น ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หยิ่งทะนง ดูถูกคนอื่น คุยข่ม อวดตัว วางก้าม ฯลฯ



ขอเพียงเราทำอย่างจริงจัง ทำอย่างอดทน ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างมีคุณธรรม ศึกษาเรียนรู้สินค้าเพิ่มเติมตลอด เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งเราก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อย่า ลืมว่าธุรกิจ MLM นั้นเป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงก็ต่ำ ถ้าเราประพฤติตัวได้อย่างที่แนะนำทั้ง 10 ข้อ เราก็จะประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง

จงอย่าปิดโอกาสตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง และอย่าให้ใครดูถูกเรา(ถูกหลอก) เลือกองค์กรที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ผ่านการพิสูจน์มาแล้วสักระยะหนึ่ง องค์กรนั้นกำลังโต ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังสู่ขาลง เมื่อเลือกได้แล้วก็ ลุย...เต็มที่เลยครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ



หากท่านมีปัญหา ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

Thongchanh Phonthachack

Network business Consultand


โทร. 856 020 55670662, 020 55673890