ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ธุรกิจหมอเส็ง เป็นธุรกิจ MLM แบบไบนารี่

หมอเส็ง

กำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับหมอเส็งอยู่ใช่ไหมครับ ? ท่านมาได้ถูกที่แล้วครับ!

ทักทายกันก่อนครับ

สวัสดีทุกท่านครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ทุกเรื่องราวของหมอเส็ง ที่นี่

ที่มาที่ไปของการเขียนบล็อกหมอเส็งแห่งนี้เกิดขึ้นได้ เพราะอะไร ? ผมจะเล่าให้ฟังครับ


คุณหมอเส็ง

เริ่มจากการทาน ยาหมอเส็ง สมุนไพรที่ได้ผลจริง!

ตัวผมทำการตลาดเพื่อขายของต่างประเทศอย่างเช่น อเมริกาและอังกฤษ ผ่านช่องทางอินเตอร์เนตเป็นงานอดิเรกและไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับยาสมุนไพร แต่อย่างใด จนวันหนึ่งทางคุณแม่ผม (คุณพรทิพย์ เจริญอนันต์กิจ) ได้แนะนำให้ผมได้รู้จักกับหมอเส็ง และยาหมอเส็ง เนื่องจากว่าตอนนั้นผมเองมีโรคประจำตัวอยู่ นั่นคือ โรคภูมิแพ้ (ผมเองเป็นคนที่แพ้ฝุ่นง่าย ถ้าเจอฝุ่นเยอะจะจามตลอด) ตอนนั้นคุณได้แนะนำให้รับประทานยาบำรุงร่างเบอร์ 2 ชนิดน้ำ ตราหมอเส็ง และขมิ้นชันหมอเส็ง ชนิดแคปซูล ยอมรับว่าตอนนั้นค่อนข้างต่อต้านการรับประทานยาสมุนไพรรวมถึงยาสมุนไพรหมอ เส็ง ด้วย เพราะมีความเข้าใจอยู่ตลอดว่ายาสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นของหมอเส็ง หรือหมอคนไหนก็ใช้ได้แค่เพียงรักษาโรคไม่ร้ายแรง อย่างเช่น ร้อนใน หรือ ท้องอืด เป็นต้น ตอนแรกที่คุณแม่ให้ยาหมอเส็ง ผมมาทาน ผมก็ทานบ้างไม่ทานบ้าง แต่พอได้ลองทานไปแล้วรู้ได้เลยว่าร่างกายดีขึ้นและอาการแพ้มีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก็เลยลองตั้งใจทานยาหมอเส็ง ดู ก็ได้ผลที่น่าพอใจ คือ มีอาการแพ้น้อยลงจนแข็งแรงอย่างคนปกติ

ยาหมอเส็งไม่เพียงผ่านการพิสูจน์จาก ผมเท่านั้น คุณย่าของผมอายุ 80 ปีก็รับประทานอยู่เช่นเดียวกัน ท่านอายุมากแล้วก็เลยเจ็บออดๆแอดๆตามประสาคนแก่ คุณแม่ก็เลยให้ท่านรับประทานยาบำรุงร่างกายตราหมอเส็ง เป็นประจำ จนปัจจุบันนี้ท่านก็ยังแข็งแรงดีอยู่ครับ

หลังจากที่ได้ผลที่น่าพอใจจากการใช้ยาหมอเส็ง ในครอบครัวของเรา ทางคุณแม่จึงได้เริ่มแนะนำคนอื่นๆอีกหลายคน ซึ่งผู้ใช้ยาหมอเส็ง คนอื่นๆที่ได้ทดลองบอกว่าเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ผลจริง

ที่เล่ามาเป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยครับ มีคนอีกมากมายที่ทานยาหมอเส็ง แล้วได้ผลดี แต่ผมคงไม่สามารถบอกท่านได้ว่าสมุนไพรหมอเส็ง ดีอย่างไร จนกว่าท่านจะลองพิสูจน์ด้วยตนเอง

ผมคงไม่สามารถบอกท่านได้ว่าสมุนไพรหมอเส็ง ดีอย่างไร จนกว่าท่านจะลองพิสูจน์ด้วยตนเอง

พบคุณหมอเส็ง หมอแมะผู้มากประสบการณ์และความสามารถ


ยาดีๆย่อมมาจากผู้ปรุงยาที่มีความสามารถ คุณหมอเส็งเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องทางแพทย์ทางเลือก(การแมะ)และการปรุงยาสมุนไพร

คุณหมอเส็ง เป็นหมอแมะ ที่เก่งกาจและมากด้วยประสบการณ์ จะพูดให้เข้าใจว่าแมะเก่งขนาดไหนเนี่ยลำบากครับ (การแมะ คือ การตรวจร่างกายด้วยการจับชีพจรครับ) ถ้าจะให้เล่าเป็นเรื่องเป็นราวเนี่ยคงยาวมาก ผมขอเล่าแบบพอสังเขปดีกว่า ยกตัวอย่าง เช่น คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเส้นเอ็นที่ข้อศอกตึง แมะแค่แป๊บเดียว (นับ 1 ยังไม่ถึง 10 ด้วยซ้ำ) รู้เลยครับว่าคนไข้คนนี้ป่วยเป็นอะไรหรือมีปัญหาตรงไหน อีกกรณีหนึ่งที่สร้างความศรัทธาที่ผมมีต่อคุณหมอเส็ง คือ เคยมีคนไปลองของกับคุณหมอเส็งครับ คำว่าลองของ หมายถึง ทดสอบว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? ด้วยการโกหกว่าตัวเองป่วยเป็นภูมิแพ้ พอแมะแค่แป๊บเดียวเท่านั้นหละครับ คุณหมอเส็งบอก เค้าเลยว่า คุณไม่ได้เป็นภูมิแพ้และร่างกายแข็งแรงดี คนที่ไปลองของเนี่ยตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกหมอเส็ง ทันทีเลยครับ เพราะรู้ว่าเจอหมอเทวดาตัวจริงเข้าให้แล้ว

ในเรื่องของการปรุงยาสมุนไพรสูตรของหมอเส็ง นั้นเป็นสูตรที่ไม่มีใครสามารถทำตามได้ ถึงแม้จะมีผู้ผลิตยาสมุนไพรและอาหารเสริมหลายรายพยายามที่จะทำยาสมุนไพรออก มาสู้เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาด แต่ก็ยังดูเหมือนว่ายังไม่มีใครที่จะสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งผลิตภัณฑ์สมุนไพร อันดับหนึ่งอย่าง เช่น ตราหมอเส็งได้

ผมจะยกตัวอย่างสูตรยาหมอเส็ง ที่ไม่มีใครสามารถคิดได้ เช่น ขมิ้นชันหมอเส็ง ซึ่งยาหรืออาหารเสริมชนิดนี้มีสรรพคุณหลายอย่าง แต่มีจุดเด่นมากๆตรงที่ช่วยในการกำจัดกลิ่นต่างๆทั่วร่างกาย ซึ่งสูตรนี้คุณหมอเส็งใช้เวลาในการคิดค้นถึง 20 ปีทีเดียว

นอกจากนี้ตัวคุณหมอเส็งได้รับใบประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรม (อนุญาตให้สามารถตรวจรักษาได้) และใบประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเภสัชกรรม (อนุญาตให้สามารถปรุงยาได้) เป็นเครื่องการันตีว่าคุณหมอเส็ง เป็นทั้งแพทย์และเภสัชกรที่ถูกต้องตามกฎหมายครับ

นอกจากเรื่องความรู้ความสามารถของคุณหมอเส็งที่ทำให้คนยอมรับนับถือท่านแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นในตัวคุณหมอเส็ง คือ ความมีคุณธรรมและเป็นคนใจบุญครับ

นอกจากเรื่องความรู้ความสามารถ ของคุณหมอเส็งที่ทำให้คนยอมรับนับถือท่านแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นในตัวคุณหมอเส็ง คือ ความมีคุณธรรมและเป็นคนใจบุญครับ

ถ้าท่านได้เข้ามาคลุกคลีหรือติดตามข่าว แน่นอนครับว่าท่านจะเห็นคุณหมอเส็ง ทำบุญและจัดงานบุญอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังได้ช่วยเหลือสมาชิกในด้านต่างๆและจ่ายผลตอบแทนอย่างตรงไปตรงมา โดยการเปลี่ยนแปลงของบริษัท แสงสุริยะฉัตร 2002 จำกัดในแต่ละครั้งคุณหมอเส็งจะ คำนึงถึงผลประโยชน์ของสมาชิกและบอกกล่าวให้ตัวแทนของสมาชิกได้รับทราบ เพื่อต้องการจะทราบความคิดเห็นจากสมาชิกหมอเส็ง ก่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยเสมอ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ผมและคุณแม่มีแนวความคิดที่จะเผยแพร่ยาหมอเส็ง ซึ่ง เป็นสมุนไพรชั้นเยี่ยมให้คนทั่วไปได้รู้จักรวมถึงคนทั่วโลก ให้ได้ทราบว่าประเทศไทยของเรามีทรัพยากรอันมีค่ามากที่เรียกว่าสมุนไพรไทย ใช้รักษาโรคต่างๆได้ไม่แพ้ยาฝรั่งแถมผลข้างเคียงยังน้อยกว่า ดังนั้นผมจึงได้ทำการสร้างบล๊อกหมอเส็ง นี้ขึ้นมา โดยที่บทความแต่ละบทความที่เขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ตรงของผมเอง และประสบการณ์ตรงของคุณแม่บ้าง โดยที่ผมทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาหมอเส็ง ผ่านการเขียน และคุณแม่ก็ทำหน้าที่ในการคอยแนะนำยาหมอเส็ง ให้คนที่มีปัญหาสุขภาพหรือใครที่อยากสุขภาพดีผิวพรรณสดใสครับ
เข้าสู่ธุรกิจหมอเส็ง

เนื่องจากผลิตภัณฑ์หมอเส็ง ได้รับการพิสูจน์จากคนเป็นแสนเป็นล้านว่าดีและได้ผลจริง ทำให้ผมและคุณแม่ตัดสินใจที่จะเผยแพร่และขยายธุรกิจหมอเส็ง ออกไป นอกเหนือจากการแนะนำให้ผู้คนทานยาหมอเส็ง เท่านั้น พูดง่ายๆ คือ ว่าธุรกิจหมอเส็งเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้

* ธุรกิจหมอเส็ง เป็นธุรกิจ MLM แบบไบนารี่ ที่มีเหลืออยู่ในประเทศไทยเพียงน้อยนิด ว่ากันว่าบริษัทธุรกิจไหนทำแผนการตลาดแบบไบนารี่มักจะไปไม่รอด แต่ธุรกิจหมอเส็ง เปิดมาเป็นปีที่ 8 แล้ว
* ธุรกิจหมอเส็ง ไม่ต้องรักษายอด ผมมองว่าการทำธุรกิจแบบไบนารี่ที่ไม่ต้องรักษายอดเป็นอะไรที่ดีมาก เพราะทุกคะแนนหรือทุกแรงที่คุณลงทุนไปย่อมไม่สูญเปล่าไม่ต่างจากการเก็บออม ครับ
* สินค้าหมอเส็งดีจริงและได้การยอมรับ ข้อนี้ท่านผู้อ่านคงทราบดีอยู่แล้ว แม้กระทั่งตัวท่านเองยังหาข้อมูลหมอเส็งอยู่ใช่ไหมครับ หรือถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ลองเข้า google แล้วค้นหาด้วยคำว่า ว่านชักมดลูก จะพบว่ามีแต่ของคุณหมอเส็ง เท่านั้นครับที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่

ด้วยเหตุผลดังกล่าวเราจึงมีความตั้งใจที่จะแนะนำและขยายธุรกิจหมอเส็ง ออกไปทั่วประเทศและคาดหวังว่าจะมีโอกาสขยายไปทั่วโลกด้วยครับ

เล่ามาซะยาว ถ้างั้นผมขอเชิญท่านเข้าสู่ทุกเรื่องราวของหมอเส็ง ได้ตามอัธยาศัยครับ
อยากให้ทุกคนสุขภาพดีครับ


Thongchanh Phonthachack

Network Business Consultand

Tel: 856 020 55670662

E-mail: khamla2000@hotmail.com

www.chatsuriya.com
www.thongchanhtoglobal.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การขายตรงให้ประสบความสำเร็จ




การขายตรงให้ประสบความสำเร็จ
ขายตรงให้สำเร็จได้อย่างไร.. ถ้าไม่มี “ใจ”

จะ เห็นว่าในปัจจุบันนี้ธุรกิจขายตรงได้ เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้น หลายคนตั้งตาตั้งตาทำเป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพเสริม ทั้งนี้ ปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรมขายตรงก็คือ “คุณต้องมีใจในการขายตรง” ซึ่งหัวใจในการทำขายตรงจะประกอบไปด้วย 4 ห้องหัวใจ ดังต่อไปนี้

1. เปิดใจ (Open Mind)

คน ที่จะทำธุรกิจขายตรงนั้นสิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ การเปิดใจยอมรับในรูปแบบและลักษณะของการขายตรง การเปิดใจ ก็เหมือนกับการเปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อรับรู้ถึงบรรยากาศของโลกภายนอกใน มุมมองที่กว้างขึ้น ดังนั้น ถ้าคุณต้องการความสำเร็จในการทำขายตรง คุณจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อระบบการขายตรง และเมื่อคุณเปิดใจยอมรับในธุรกิจขายตรงแล้ว นั่นแสดงว่าคุณเปิดรับโอกาสแห่งความสำเร็จที่จะรอคุณอยู่ในวันข้างหน้า
2. เข้าใจ (Understanding)

เมื่อ คุณเปิดใจยอมรับและเลือกธุรกิจขายตรงมาเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักของคุณ แล้ว ขั้นต่อไปคุณต้อง ศึกษา เรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจที่คุณเลือก ตลอดจนขั้นตอนและรูปแบบการดำเนินงานต่าง ๆ นอกจากนี้ จะต้องทำความเข้าใจกับสภาพของตลาดและสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย สิ่งที่สำคัญก็คือ ถ้าคุณเข้าใจลูกค้ามากแค่ไหน โอกาสที่จะสร้างยอดขายและ เครือข่ายทีมงานก็จะง่ายขึ้น และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้คุณทำขายตรงอย่างมีความ สุขและประสบความสำเร็จได้ในอนาคต

3. ตั้งใจ (Pay Attention)

การ ดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ย่อมมีปัญหาหรืออุปสรรคให้รำคาญใจอยู่เสมอ เช่นเดียวกับธุรกิจขายตรง แต่ถ้าคุณมีความตั้งใจที่แน่วแน่ ในการดำเนินธุรกิจเพื่อค้นหาทางออกหรือทางแก้ให้เจอปัญหาเหล่านั้นมันจะทำ ให้ชีวิตของคุณมีสีสัน และท้าทายมากขึ้น สิ่งสำคัญ คือ คุณจะต้องไม่ท้อ เพราะในท่ามกลางอุปสรรค ย่อมมีโอกาสแฝงอยู่เสมอ ขอเพียงคุณตั้งใจที่จะค้นหา และเดินไปหามัน ไม่แน่นะคะ ความสำเร็จในการขายตรงอาจจะอยู่ไม่ไกลเอื้อมก็ได้คะ

4. ใส่ใจ (Attention)

คุณ ก็ต้องทำให้ลูกค้า ทีมงานหรือเครือข่าย ของคุณเปิดใจยอมรับ มีความเข้าใจและตั้งใจในการทำขายตรงอย่างถูกต้องด้วย ซึ่งในการทำขายตรงคุณจะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้า และทีมงานหรือเครือข่าย เพราะบุคคลเหล่านี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถนำคุณไปสู่ความสำเร็จใน อาชีพขายตรง ดังนั้นคุณต้องใส่ใจในความต้องการของพวกเขาเหล่านั้น สามารถสื่อสาร เสนอข้อมูลให้โดนใจอย่างถูกต้อง และสามารถแก้ไขหรือช่วยบรรเทาปัญหาของพวกเขาได้ ตลอดจนคุณต้องมีท่าทีและแสดงออกให้พวกเขารับรู้ถึงความจริงใจที่คุณมีให้แก่ พวกเขาทั้งหลาย



สุดท้ายนี้เรา ทราบกันดีว่าหัวใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ร่างกายเรา สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งก็เปรียบเสมือนธุรกิจการขาย ถ้าเราปราศจากหัวใจในการทำธุรกิจ ธุรกิจก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จได้แน่นอน คุณเห็นด้วยกับดิฉันไหมคะ


ที่มา : www.siamturakij.com



for your success..

Thongchanh Phonthachack

Network business consultand

tel : 020 55670662

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนทางสู่การก้าวเป็น CEO (Cheif Energy Officer)


หนทางสู่การก้าวเป็น CEO (Cheif Energy Officer)


หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าอะไรคือการเป็น CEO ถ้าคุณยังไม่เข้าใจผมแนะนำให้กลับไปอ่านบทความเรื่อง หนทางในการสร้างพลังงานในตัวคุณก่อน CEO นั้นมาจาก Chief Energy Officer ซึ่งก็คือผู้ที่สามารถควบคุม และจัดการกับพลังงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้ที่สามารถควบคุมพลังงานได้ ย่อมเป็นผู้ชนะ ในทุก ๆ บทสนทนา และสามารถได้ทุก ๆ สิ่งที่ต้องการ และวันนี้ผมจะพูดถึงหนทางสู่การก้าวเป็น CEO เพื่อที่คุณจะสามารถที่จะกลายเป็น CEO ได้ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง

ก่อนที่คุณจะเข้าสู่การสร้างพลังงาน ด้วยการเป็น CEO อันดับแรก คุณจำเป็นต้องเข้าใจถึงความสำคัญของการสื่อสารก่อน ว่าปัจจัยที่ส่งผลให้การสื่อสาร ในการสนทนานั้น ๆ ประสบผลสำเร็จนั้นจำเป็นต้องประกอบไปด้วยปัจจัยใดบ้าง

ปัจจัยสำคัญของการสื่อสารนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน อันได้แก่ คำพูด น้ำเสียง และท่าทาง ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้จัดเป็นปัจจัยที่จะตัดสินการสนทนานั้น ว่าจะได้ผลลัพธ์หรือไม่ แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คือ ถ้าแบ่งเปอร์เซ็นต์ ของผลกระทบที่ส่งผลต่อการสื่อสาร คำพูดนั้นมีผลกระทบเพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนน้ำเสียงนั้นมีผลกระทบ 38 เปอร์เซ็นต์ และท่าทางของเรานั้นมีผลกระทบถึง 55 เปอร์เซ็นต์ นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลาย ๆ คน ที่ไม่รู้ความลับนี้ ไม่สามารถประสบความสำเร็จ ในการแนะนำธุรกิจให้กับผู้มุ่งหวังได้สำเร็จ เนื่องจากพวกเขาใช้แต่เพียงคำพูดเท่านั้น

หลาย ๆ คนเข้าใจว่าการที่เราแนะนำธุรกิจให้กับผู้มุ่งหวัง ถ้าเราอยู่ในธุรกิจที่ดี และมีโอกาสการเจริญเติบโตสูง และมีปัจจัยเกื้อหนุนด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น แผนการตลาดที่ดี และสินค้าที่ยอดเยี่ยม จะทำให้เราสามารถประสบความสำเร็จ ในการแนะนำธุรกิจให้กับผู้มุ่งหวังได้ดีขึ้น แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าคุณทำได้แค่เพียงบอกเล่าเรื่องราว คุณย่อมสามารถสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นในการสนทนานั้น ๆ ได้เพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งนั่นไม่มีทางทำให้คุณ ได้รับผลลัพธ์ตามที่คุณต้องการได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญไปยัง ท่าทาง และน้ำเสียงของคุณเป็นหลัก และด้วย 2 สิ่งนี้ คุณจะสามารถควบคุมให้ผู้มุ่งหวังเป็นไปตามที่คุณต้องการ คุณสามารถทำให้พวกเขาตื่นเต้น จนรอไม่ไหวที่จะขอเข้าร่วมธุรกิจกับคุณก็เป็นได้ และด้วยการพัฒนาทั้ง 2 สิ่งนี้ คุณจะสามารถกลายเป็น CEO ได้

ดังนั้นการที่คุณจะเป็น CEO คุณจะต้องทำการฝึก การเล่าด้วยท่าทางของคุณ ใช้มือ ใช้ท่าทางของร่างกาย รวมถึงคำพูดของคุณ ลองหัดพูดด้วยการใช้น้ำเสียงที่แตกต่างจากเดิม หัดการพูดให้เหมือนกับการร้องเพลง ที่มีระดับขึ้น และลง อย่าใช้น้ำเสียงระดับเดียวกันทั้งหมด เพราะนั่นจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อ ด้วยการที่คุณควบคุมระดับเสียง และท่าทางของร่างกายคุณ คุณจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อม ของการสนทนานั้นให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ และยิ่งไปกว่านั้น คุณยังจะสามารถทำให้ผู้มุ่งหวัง ตื่นเต้นจนต้องรีบขอเข้าร่วมธุรกิจกับคุณเลยก็เป็นได้

การเป็น CEO นั้นคุณจำเป็นที่จะต้องเป็นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง การพูดคุย ไม่ใช่เฉพาะเป็นเพียงแต่บางเวลา เมื่อคุณสามารถเดินอย่างมีพลัง นั่งอย่างสง่างาม การพูดคุยของคุณก็จะมีพลัง และสง่างามตามไปด้วย และเมื่อคุณฝึกฝนจนเพียงพอ คุณจะสามารถควบคุมระดับพลังงานทั้งหมดได้ คุณจะสามารถรับมือกับผู้มุ่งหวังที่หัวเสีย ด้วยการใช้น้ำเสียงให้พวกเขาเย็นลง นอกจากนั้นคุณยังสามารถทำให้ผู้มุ่งหวังที่ลังเล ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจกับคุณได้อย่างรวดเร็วขึ้น ถ้าคุณสามารถเป็น CEO และควบคุม น้ำเสียง และท่าทางของคุณได้อย่างสมบูร

การเป็นผู้ชม ไม่มีทางทำให้คุณประสบความสำเร็จ





ใน โลกนี้มีกลุ่มคนอยู่หนึ่งกลุ่ม ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นกลุ่มที่มีอยู่มากที่สุด กลุ่ม ๆ นี้ก็คือผู้ชม ซึ่งคุณรู้ไหมเหตุใดนักเทนนิส หรือนักกอล์ฟมืออาชีำพ จึงมีรายได้จำนวนมหาศาล สาเหตุก็เพราะพวกเขามีผู้ชมคอยติดตามจำนวนมากนั่นเอง และถ้าเราลองมองถึงความแตกต่าง เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ผู้ชมเป็นผู้ที่ต้องจ่ายค่าบัตร หรือค่าถ่ายทอด เพื่อได้ดูการแข่งขัน ในขณะที่ผู้เล่น ได้รับผลลัพธ์จากการแข่งขันที่พวกเขาเข้าร่วม และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่การเป็นผู้ชม ไม่สามารถทำให้คุณสำเร็จ

จากตัวอย่างที่ผมได้ยกตัวอย่างไปก่อนหน้า นี้ ถึงการเป็นผู้ชม และเป็นผู้เล่น ถึงตอนนี้ผมอยากจะอธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อที่คุณจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อสาร ได้อย่างดี การเป็นผู้ชมนั้นก็คือการที่คุณ เลือกที่จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ หรือเฝ้าดูการลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งทุกท่านเชื่อหรือไม่ว่า การที่คุณทำธุรกิจเครือข่าย เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการพบ กับกลุ่มคนที่เป็นผู้ชมกลุ่มนี้ได้ กลุ่มผู้ชมนี้ก็คือกลุ่มที่คอยย้ำเตือนคุณว่าคุณไม่สามารถทำได้หรอก ทุก ๆ คนทำได้ยกเว้นคุณ หรือคุณกำลังโดนหลอกแล้ว ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่เคยแม้แต่จะเปิดโอกาสในการรับฟังความจริง ในธุรกิจของคุณ แต่ก็ยังทำการตัดสินด้วยความคิด และประสบการณ์ของพวกเขา ซึ่งอันที่จริงกลุ่มคนกลุ่มนี้ ก็เป็นเหมือนกับผู้ชมกีฬา ที่ถึงแม้ตะโกนให้คำแนะนำมากเพียงใด นักกีฬาที่เป็นมืออาชีพ ก็ย่อมสามารถเพิกเฉย กับการกระทำของคนกลุ่มนี้ได้อย่างดี ในขณะที่ผู้เล่น คือกลุ่มคนที่ลงไปอยู่ในเกมส์อย่างแท้จริง เพื่อทำการทดสอบทักษะการแข้ไขปัญหา ของพวกเขา การเป็นผู้เล่นนี้ถึงแม้บางครั้งคุณจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างไรคุณก็ยังสามารถสร้างผลลัพธ์ให้เกิดขึ้นได้ ทีละเล็ก ๆ ทีละน้อย แตกต่างกันกับการเป็นผู้ชม ที่คุณไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ใด ๆ เลย เพราะคุณทำแต่เพียงเฝ้าดู

ปัญหาหลักที่ผมพบระหว่างการทำธุรกิจเครือข่าย ของ หลาย ๆ คน นั่นก็คือการที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จนั้น มีสาเหตุมาจากการที่นักธุรกิจคนนั้น ไม่กล้าตัดสินใจลงมือทำ หรือไม่กล้ากลายเป็นผู้เล่น สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ เข้าไปอยู่ในบริษัท ในฐานะผู้สังเกตุการณ์ พวกเขาสังเกตุถึงความเป็นไป สังเกตุถึงการทำงานของบริษัท สังเกตุถึงผลลัพธ์ของผู้อื่น สังเกตุถึงระดับความเติบโตของบริษัท และก็สังเกตุ และสังเกตุทุก ๆ อย่าง และพวกเขาก็จะถามคำถามที่ว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับผลลัพธ์ ตามที่สมควรได้ ทำไมจึงไม่สามารถสร้างรายได้หลักหมื่น หลักแสนได้ ภายในระยะเวลาอันสั้น เหมือนกับที่ผู้อื่นทำสำเร็จ เหตุผลนั้นก็เพราะอย่างเดียว เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นแต่เพียงผู้ชม ในธุรกิจนั้น ๆ นั่นเอง และขอผมบอกความจริงตรงนี้ได้เลยว่า ถ้าคุณยังทำตัวเป็นผู้ชมอยู่ คุณจะไม่มีทางได้รับผลลัพธ์ใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือเรื่องอื่น ๆ แต่คุณจะต้องจ่ายเงิน ในการเป็นผู้ชมในธุรกิจเครือข่าย นี้ เหมือนกับการจ่ายเงินเข้าชมกีฬา หรือคอนเสริ์ตนั่นเอง

ในการเป็นผู้เล่น คุณจะได้ต่อสู้กับปัญหา และอุปสรรค และจำเป็นต้องแลกมาซึ่งหยาดเหงื่อ และแรงกาย เพราะคุณจำเป็นต้องลงไปอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ คุณจะไม่มีทางที่จะมีความคิดเห็นแปลก ๆ เช่น ทำไม่ได้หรอก คนอื่นทำได้ยกเว้นเรา แต่คุณจะลงมือทำ และทำให้ดีที่สุด และเมื่อคุณลงมือทำ ความคิดต่าง ๆ จะจางหายไป คงเหลือไว้แต่ผลลัพธ์จากการลงมือทำเท่านั้น และขอให้เชื่อเถอะครับว่า ถึงอย่างไร ผู้เล่น ก็ได้รับผลลัพธ์มากกว่า การเป็นผู้ชมอย่างแน่นอน

for your success...

Thongchanh Phonthachack

Network Business Consultand

Tel: 856 020 55670662

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The power of Now


The power of Now


วันนี้ ผมอยากจะพูดถึงอุปนิสัยหนึ่ง ที่หยุดยั้งผู้คนจากการประสบความสำเร็จ นั่นก็คือการผลัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งอุปนิสัยนี้ จัดเป็นตัวบ่อนทำลาย โอกาสในการประสบความสำเร็จของเราได้อย่างร้ายแรง เพราะยิ่งเราผลัดวันประกันพรุ่งมากเท่าไหร่ เรายิ่งกำลังทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นก็คือเวลา ในทุกวันนี้เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าคุณนั้นจะเก่งมากเพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ คุณรวดเร็วเพียงใด ในเวทีการแข่งขันต่างหาก และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณควรลงมือทำเดี๋ยวนี้!

ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน รวมถึงตัวผมเอง ล้วนแล้วแต่มีนิสัยของการผัดวันประกันพรุ่งนี้อยู่ในตัว ถึงแม้บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ผลัดแบบวันต่อวัน แต่ผลัดการทำสิ่งที่สมควรให้ล่าช้าไป นั่นก็จัดเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งผมบอกได้เลยว่าถ้าเราไม่สามารถขจัดนิสัยเสียนี้ออกไปได้ เราย่อมไม่สามารถที่จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

ด้วยการที่เราผลัดสิ่งที่เรารู้ว่าสมควรทำ ออกไป สมองของเราจะเกิดความกังวลจากสิ่งที่สมควรทำ แล้วยังไม่แล้วเสร็จ และยิ่งเรามีเรื่องราวที่ผลัดออกไปมากเท่าใด เราก็ยิ่งไม่รู้ได้เลยว่าต่อไปเราต้องลงมือทำสิ่งใด เพราะสมองของเราถูกยัดด้วยเรื่องราวมากมายเต็มไปหมด และสับสนจนไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดก่อน เพราะดูเหมือนกับว่าทุก ๆ สิ่งนั้นมีความสำคัญสูงไปหมดเสียทุกเรื่อง และนอกจากการผลัดวันประกันพรุ่ง จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับสมองของเราโดยใช่เหตุแล้ว การผลัดวันประกันพรุ่งยังเป็นการผลัดความสำเร็จออกไป จากเดิมคุณจำเป็นต้องใช้เวลา 3-5 ปี ในการเกษียณจากธุรกิจเครือข่าย คุณอาจจะใช้เวลามากขึ้นหลายเท่า หรืออาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลย สาเหตุก็เพราะคุณไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่สมควรทำ คุณไม่ได้โทรหาผู้มุ่งหวัง คุณไม่ได้ออกไปแสดงแผน และนั่นเองทำให้คุณไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ ถึงแม้บางครั้งคุณอาจจะทำ แต่ถึงอย่างไรการทำนั้นอาจจะมีเหตุผลว่า คุณไม่สามารถผลัดวันได้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง

ในยุคปัจจุบัน การแข่งขันที่สำคัญที่สุดที่คุณจำเป็นต้องช่วงชิง นั่นก็คือเวลา คุณจำเป็นต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อทำให้ตัวคุณนั้นเร็วกว่าคู่แข่ง บางครั้งคุณอาจจะอยู่ในธุรกิจที่ดี แต่ถ้าคุณช้า คุณจะทำลายโอกาสของตัวคุณเองลงไป เพราะคู่แข่งจะตัดหน้าคุณก่อน และทำให้คุณไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ ทั้ง ๆ ที่คุณสมควรได้รับอย่างที่สุด

การลงมือทำในสิ่งที่คุณรู้ว่าคุณต้องทำ เป็นสิ่งจำเป็น อย่าได้ผลัดวันออกไป ถ้าคุณยังต้องการประสบความสำเร็จ เพราะถึงอย่างไร คุณก็จำเป็นต้องทำอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะทำในสถานการณ์ใด ระหว่างทำตอนที่คุณยังมีเวลาเหลือเฟือ หรือทำตอนที่คุณไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว คุณสามารถเลือกได้

หัวข้อต่อไป ผมจะพูดถึงเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการ การทำงานของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถสร้างผลลัพธ์ให้กับคุณได้อย่างมหาศาล กับการจัดการเวลาที่มีค่าของคุณ ขอให้ติดตาม

หนทางในการสร้างพลังงานในตัวคุณ


หนทางในการสร้างพลังงานในตัวคุณ

หลาย ครั้ง คุณอาจสงสัยถึงสาเหตุที่คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จในการปิดการขาย การปิดใบสมัครได้ สาเหตุหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญนั่นก็คือ คุณไม่เข้าใจหลักการของการจัดการกับพลังงาน เพราะการพูดคุย การสื่อสาร การขาย ทุก ๆ งานล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องอาศัยพลังงานด้วยกันทั้งสิ้น คุณจึงจำเป็นต้องรู้จักกับวิธีการสร้างพลังงานในตัวคุณ และสามารถที่จะควบคุมระดับพลังงานในการสนทนา ให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ และหลังจากนั้น คุณจะสามารถได้ทุก ๆ สิ่งที่คุณต้องการ

เรื่องของพลังงาน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่อาจจะไม่มีใครเคยสังเกตุเห็นเท่านั้น แต่ถ้าคุณลองสังเกตุ คุณจะเห็นถึงความสำคัญของพลังงาน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมทุก ๆ การเปิดคอนเสริ์ตจำเป็นต้องใช้เพลงเร็ว หรือเพลงที่มีพลังงานสูง นั่นก็เพราะการทำเช่นนั้น จะเป็นการเพิ่มพลังงานให้มีระดับที่สูงขึ้น ผมเองชื่่นชอบการดูคอนเสริ์ต เพราะเป็นการเล่นกับพลังงานที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งคอนเสริ์ตจะสนุก หรือไม่สนุกนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้แสดงจะสามารถควบคุมระดับพลังงานได้ดีเพียงใดนั่นเอง

เช่นเดียวกันกับงานของคุณ คุณไม่สามารถออกไปแนะนำธุรกิจให้กับผู้มุ่งหวังได้ ด้วยการใช้ระดับพลังงานปกติธรรมดา ที่คุณใช้ในการพูดคุย เพราะนั่นไม่แตกต่างกับการบอกเล่า จุดประสงค์ของคุณไม่ใช่การบอกเล่าโอกาสทางธุรกิจ แต่เป็นการทำทุก ๆ ทาง เพื่อชักจูงให้ผู้มุ่งหวังเห็นโอกาสทางธุรกิจต่างหาก คุณจึงจำเป็นต้องทำมากกว่าการพูดคุย และนี่คือสาเหตุที่คุณจำเป็นต้องรู้จักกับการจัดการกับระดับพลังงาน

ผมอยากจะบอกเคล็ดลับการแนะนำธุรกิจ หรือการขายให้กับคุณ ถ้าคุณสามารถทำให้ผู้มุ่งหวังตื่นเต้น ในสิ่งที่คุณต้องการสื่อสาร คุณย่อมสามารถปิดการขายได้อย่าง 100% และนั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ทำการพิสูจน์แล้วจากการทดลองทำจริงของผม แต่ปัญหาสำคัญก็คือคุณจะทำอย่างไร จึงจะสามารถทำให้ผู้มุ่งหวังตื่นเต้นได้ ?

การสร้างความตื่นเต้นให้เกิดขึ้น มีทางเดียวที่สามารถทำได้ นั่นคือการเพิ่มระดับพลังงานให้สูงขึ้น คุณจึงไม่สามารถใช้การบอกเล่า เพื่อแนะนำธุรกิจได้ ซึ่งเคล็ดลับในการเพิ่มระดับพลังงาน นั้นก็คือคุณจำเป็นที่จะต้องเป็น CEO ซึ่ง CEO ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึง Chief Executive Officer แต่หมายถึงการเป็น Chief Energy Officer คือผู้ที่สามารถสร้างพลังงานออกมาได้ตลอดเวลา ด้วยการที่คุณสร้างพลังงานจากตัวคุณออกมา ผู้มุ่งหวังที่ได้รับพลังงานนั้นจะรับสัมผัสได้ และคุณสามารถควบคุมทุก ๆ สิ่งในบทสนทนานั้นได้ ถ้าคุณเป็น CEO ได้สำเร็จ การสร้างพลังงานจากตัวคุณ พลังงานนั้นจะสามารถส่งไปยังผู้คนรอบข้าง และคุณจะสามารถควบคุมทุก ๆ สิ่งให้เป็นไปตามที่คุณต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างสภาวะให้ผู้มุ่งหวังตื่นเต้น จากพลังงานที่ตัวคุณปล่อยออกมา เป็นโอกาสในการที่คุณจะสามารถปิดการขาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่ึงขึ้น แต่คุณอาจจะประสบปัญหาว่าคุณจะสามารถกลายเป็น CEO ได้อย่างไร หัวข้อต่อไปผมจะมาพูดถึงความลับของการเป็น CEO นี้ให้แก่คุณ

วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน


วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน


“เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่เงินก็สามารถซื้อทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้บนผืนพิภพแห่งนี้ ”
พูด อย่างนี้ มิได้มีเจตนาบูชาเงินเป็นสรณะ แต่ถ้าคุณคิดว่าตนเองเป็นคนดี ถามว่า ถ้าเงินอยู่กับคนดีๆ มีอะไรเสียหายไหม วันหนึ่งคุณเกิดมีเหตุจำเป็นต้องใช้ หรือ อยากช่วยใครสักคน แล้วมีเงินอยู่ในมือที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ถามว่าดีไหม


เพียงแต่ว่า เงินก้อนนั้นต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจริยธรรม ไม่ไปเบียดเบียนใคร


เรา มักจะพูดกันว่า ถ้ามีเงินเป็นล้าน จะเป็นเศรษฐี ถามจริงๆว่า ถ้ามีเงินเพียง 1 ล้านบาทนับเป็นเศรษฐีได้จริงๆหรือ เดี๋ยวนี้ 1 ล้านบาทไม่พอซื้อบ้าน ไม่พอซื้อรถยี่ห้อแพงๆ , ไม่พอรักษาโรคร้ายแรง เงิน 1 ล้านบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย ในบทความนี้ จึงตั้งสมมติฐานว่า เศรษฐีควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ไปจี้ไปปล้นใครมา

1.เป็นเจ้าของกิจการ
ใครๆ ก็รู้ว่า เป็นเถ้าแก่จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สถิติพบว่าธุรกิจเปิดใหม่ จะล้มหายตายจากไปในปีที่สองถึง 70 % และจะอยู่อย่างยั่งยืนเกิน 10 ปีได้เพียง 3-5 % เท่านั้น แต่ผู้คนทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจกันไม่เว้นแต่ ละวัน อย่างน้อยก็ขอลองสักตั้ง ไม่ว่าจะเสี่ยงเพียงใด มาดูว่าเจ้าของธุรกิจ ทำเงินกันอย่างไร

สูตรที่มักจะใช้อธิบายกำไรของเจ้าของธุรกิจคือ
ยอดขาย – ต้นทุนคงที่ – ต้นทุนแปรผัน = กำไร

เพื่อ ทำให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจหนึ่งหากมียอดขายต่อเดือนที่ 1 ล้านบาท มีต้นทุนคงที่ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผัน 200,000 บาท ดังนั้น หากเจ้าของธุรกิจอยากมีกำไร เขาต้องผลักดันยอดขายให้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ถ้ายอดขายต่ำกว่า 1 ล้านบาทจะขาดทุนทันที

เช่น ถ้ายอดขาย 1,500,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาทคงเดิม ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 1.5 เท่าของเดิม ซึ่งเท่ากับ 300,000 บาท เดือนนั้นจะกำไร 1,500,000 - 1,100,000 = 400,000 บาท


แต่ ถ้า ยอดขายเป็น 3,000,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 3 เท่าซึ่งเท่ากับ 600,000 บาท เดือนนั้นจะมีกำไรเท่ากับ 3,000,000 บาท – 1,400,000 = 1,600,000 บาท


ใน ทำนองกลับกัน ถ้ายอดขายตกลงมาเหลือ 500,000 บาทต้นทุนคงที่ยังคงเท่ากับ 800,000บาท ต้นทุนแปรผันอาจลดลงครึ่งหนึ่งของเดิมเท่ากับ 100,000 บาท เดือนนั้นจะมียอดขาดทุนเท่ากับ 500,000 - 900,000 = 400,000 บาท


ตัว เลขข้างต้นเป็นตัวเลขสมมติคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งในชีวิตจริงจะซับซ้อนกว่านี้ และแต่ละธุรกิจก็มีสัดส่วนของตัวเลขต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันแตกต่างกันไป


แต่ ก็ทำให้เราเข้าใจว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น รวยเร็ว และ เจ๊งเร็ว พอๆกัน ขึ้นกับฝีมือ ขึ้นกับความต้องการของตลาด ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง


หาก สร้างธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะร่ำรวยเงินไหลมาเทมา โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงิน 10 ล้านบาทจึงเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเถ้าแก่เหล่านี้


ปัจจุบัน พบว่า มีเถ้าแก่หัวหมอที่ต้องการรวยลัดยิ่งๆขึ้น เขาใช้วิธีสร้างธุรกิจแล้วขายต่อทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะได้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีส่วนกำไร


ถ้าสร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนมั่นคงแล้วขายต่อ คงจะไม่มีใครว่าอะไร เพราะอยู่ในกรอบ อยู่ในเกณฑ์


แต่ ถ้าใช้วิธีสร้างข่าว สร้างภาพให้หุ้นตัวเองด้วยการเทคโอเวอร์ , ขอสัมปทาน , ปั้นสารพัดโปรเจค์ขึ้นมาขายฝัน แล้วขายออกเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง


คน ขายรับเงินล่วงหน้าของประมาณการยอดขาย สิทธิสัมปทาน และ ค่านิยม( GOOD WILL )ต่างๆ ที่ตอบสนองไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้คนซื้อไปรับความเสี่ยงแทน ว่ารายได้ในอนาคตจะได้ตามที่นักวิเคราะห์ขายฝันให้หรือเปล่า


2.เป็นนักบริหารระดับสูง

สมัย ก่อน พวกเถ้าแก่มักจะพูดสอนลูกหลานว่า เวลาเรียน ไม่ต้องเรียนสูงนัก พอให้จบปริญญาตรีแล้วมาทำการค้าจะร่ำรวยกว่า พวกที่เรียนสูงจบด๊อกเตอร์ สุดท้ายก็ไปเป็นลูกน้อง รับจ้างบริหารให้พวกเถ้าแก่ รับค่าจ้างเดือนละ 80,000 - 100,000 บาท แต่ไม่รวย


สมัย นี้ เราดูถูกนักบริหารมืออาชีพไม่ได้เสียแล้ว หากมีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากเถ้าแก่หรือผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทแล้ว เขาจะสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ


รายได้ขนาดนี้มาได้อย่างไร


บริษัท ใหญ่ๆระดับประเทศ การที่ผู้บริหารสูงสุดจะมีเงินเดือนๆละ 500,000 - 1,000,000 บาท ไม่ใช่เรื่องแปลก และยิ่งถ้าได้เป็นกรรมการบริษัทในเครืออีก 4-5 แห่ง จะได้รับเบี้ยประชุมแห่งละ 300,000 - 500,000 บาทต่อปีทีเดียว


บางบริษัท ใช้วิธีตั้งโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรให้ตามยอดขาย ถ้าหากว่าสามารถทำผลงานได้ตามเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู บริษัทใหญ่ๆต่างสร้างสถิติยอดขายสูงสุดใหม่ ทำให้ผู้บริหารร่ำรวยไปตามๆกัน หลายคนได้โบนัส 3-5 ล้านบาท โดยไม่คาดฝัน


อีก ช่องทางที่สร้างรายได้เป็นกอบกำให้ผู้บริหารคือ ESOP ( EMPLOYEE STOCK OPTION PLAN ) ที่กรรมการบริษัทมักจะลงมติมอบสิทธิในการซื้อหุ้นให้กับผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เพื่อจูงใจให้สร้างกำไรให้บริษัท ปรากฏว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า 70 % มักมอบให้กับผู้บริหาร 5 -10 คนแรกของบริษัท บางคนได้สิทธิจองซื้อถึง 10 ล้านหุ้น ลองนึกภาพดูว่า หากสามารถผลักดันกำไร จนทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือราคาใช้สิทธิสัก 5-6 บาทต่อหุ้น เขาจะทำกำไรได้คนละ 50-60 ล้านบาททีเดียว


นักบริหารมืออาชีพจึงเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามไม่ได้


3.เป็นนักขายตรง


คน ไทย มักรังเกียจอาชีพงานขาย ดูถูกว่าต่ำต้อย ขณะที่ฝรั่งเขามองว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะและใช้ความสามารถสูง เราจึงพบว่า ผู้บริหารของบริษัทฝรั่งหลายคนมักมีพื้นฐานเป็นนักขาย หรือ อยู่ฝ่ายขายมาก่อน


งาน ขายตรง ไม่ว่าประกันชีวิต เครื่องสำอางค์หรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30 % ไม่ว่าจะเป็นการขายครั้งแรกหรือเมื่อขายซ้ำ ยกเว้นขายประกันชีวิตที่จะได้มากในปีแรก


ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30 % ของค่านายหน้าของลูกทีม ซึ่งน่าจะตกประมาณ 10 % ของยอดขาย


ลอง นึกภาพดูว่า ถ้าทีมงานขายนั้นสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว หรือ ตัวนักขายเองหากขยันพบลูกค้าจนสามารถทำยอดขายได้ 10 ล้านบาทต่อปี เขาก็สามารถมีรายได้ 3 ล้านบาทต่อปีได้เช่นกัน


4.เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ


เรา คงเคยได้ยิน เรื่องแพทย์เฉพาะทาง , ทนายความผู้เชี่ยวชาญ , สถาปนิกผู้โด่งดัง ที่สามารถทำเงินได้ปีละ 5 -10 ล้านบาท บางคนสามารถเรียกค่าปรึกษาเป็นนาที ตั้งราคาตามที่ตนเองพอใจ คนเหล่านี้ย่อมเป็นเศรษฐีได้ตามปรารถนา


ที่ เล่ามา เป็นกลุ่มหลักๆที่พอจะประมวลมาได้ว่า เป็นช่องทางที่คนทั่วไปจะมาดมั่นขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ ด้วยมือเปล่า ขณะที่บางอาชีพทำให้ตาย ขยันอย่างไร ก็ไม่มีทางรวย


แต่ คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า ทุกกลุ่มที่พูดมาทั้งหมด มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต้องขยันมุ่งมั่นและอดทนอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุความสำเร็จ


ว่าแต่ว่า คุณมีคุณสมบัตินี้แล้วหรือยัง ถ้ามี เงินล้าน เงินสิบล้าน ก็รอเป็นรางวัลชีวิตให้คุณได้เหมือนกัน

ความรู้จากแพทย์แผนจีน

อาจารย์ท่านแนะนำเคล็ดลับไว้ 12 ข้อ ดังต่อไปนี้


1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อยเพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้าง ถูหน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่ง ปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องอะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงาน คอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย(ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย (ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และ กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำและน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลังกาย เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินไป ทำให้เกิดสารพิษและการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้นทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่นการฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้เลือดและพลังไหลเวียนดี

เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และ ลมปราณที่ดีไปนานๆ ครับ

ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า

อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกินไป นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบได้แก่

1. ไข่เยี่ยวม้า: ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋: กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟ ทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

4. ผักดอง: ผักดองและของหมักเกลือ ทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

5. ตับหมู: ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกินหรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็ง เพิ่มขึ้น

6. ผักโขม ปวยเล้ง: ผักโขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า...มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกินหรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมหรือสังกะสีได้

7. บะหมี่สำเร็จรูป: บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกันบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกินหรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้

8. เมล็ดทานตะวัน: เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า...การกินมากเกินหรือบ่อยเกิน อาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น

9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้: กระบวนการหมักเต้าหู้ อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุหรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

10. ผงชูรส: คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัมหรือประมาณ 1 ช้อนชา การกินผงชูรสมากเกินหรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูง อาจทำให้ปวดหัวใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

สุดยอดอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี




เป็น ธรรมดาที่คนเราต้องมีอารมณ์เสีย หงุดหงิดบ้างใช่ไหมค่ะ แต่คุณสาวๆเคยรู้ไหมค่ะว่าวิธีการแก้อารมณ์เสียเหล่านั้นทำได้ไม่ยากเลยค่ะ แค่การเลือกรับประทานอาหารบางประเภท ก็สามารถช่วยให้คุณสาวๆ มีอารมณ์ดีขึ้นแล้วละค่ะ ว่าแต่ว่าอาหารที่ว่านั้นคืออะไรกันบ้าง อย่ารอช้าค่ะ รีบมาดูแล้วหามาทานกันเลยค่ะ

- ปลาแซลมอนและแม็กคาเรล ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำกันว่าเป็นอาหารที่เยี่ยมมากสำหรับมื้อดินเนอร์ ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้าน อนุมูลอิสระด้วย


- คาโนลาออยล์ (Canola Oil) เป็นน้ำมันจากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน ทำให้แนะนำกันว่าให้รับประทานได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยพยายามใช้น้ำมันนี้เวลาคุณทอดปลาแซลมอนหรือทำอาหารสุขภาพรับประทาน


- ผักโขมและถั่วสด ในผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ซึ่งช่วยให้อารมณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน นอกจากนั้นการรับประทานถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่มีคำแนะนำว่าถั่วกระป๋องจะมีสารอาหารน้อยกว่าถั่วสด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรเลือกรับประทานถั่วสดๆ เพื่อสารอาหารที่เต็มที่...ผสมถั่วลงในทูน่าสลัด หรือเพิ่มผักใบเขียวในชามสลัดของคุณก็จะเป็นมื้ออาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียว


- ถั่ว Chickpeas เป็น อาหารที่มีโฟเลตสูงแต่ไขมันต่ำ และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สามารถที่จะทานถั่วชนิดนี้แทนได้ เพราะ มีโปรตีนอยู่สูง แถมมีรสอร่อย นอกจากนั้นชิกพียังมีไฟเบอร์, ไอออน และวิตามินอีอยู่เยอะ มีคำแนะนำการประกอบอาหารง่าย ๆ จากถั่วชิกพีมาด้วยว่า ให้นำชิกพีกระป๋องมาเทเอาน้ำออก ผสมกระเทียมสับใส่ลงไป ใส่น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา ปั่นในเบลนเดอร์หรือเครื่องผสมอาหาร เติมเกลือพริกไทยหรือเครื่องปรุงรสที่ชอบ แค่นี้ก็จะได้อาหารสุขภาพที่นำมาจิ้มรับประทานกับผักสดได้อร่อย


- ไก่ เป็น อาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ซึ่งโดยหลักแล้วจะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา นอกจากนั้นในไก่ยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องคำนึงถึงนิดหนึ่งว่าการรับประทานหนังไก่จะช่วยเพิ่มไขมันให้กับ เราไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเลือกรับประทานอกไก่ที่ปราศจากหนังดีกว่าค่ะ เพราะให้พลังงานเพียง 106 แคลอรี/3.5 ออนซ์ (ประมาณครึ่งอก) เท่านั้น

ข้อมูลจาก S.WOMEN

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย



การนอน ดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ Overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้อง อืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสียที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ ถ้า นอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย Overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซียมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซียมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซียมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซียมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
การ นอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซียมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

ระบบเหงื่อ คน ที่ไม่มีเหงื่อออกจะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ ระบบ หายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้
แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ

ขอบคุณข้อมูล : HeyhaParty

ตับอักเสบ Hepatitis



ตับอักเสบ Hepatitis


ไวรัสตับอักเสบเอ ตัวเหลือง ตาเหลือง
โรค ไวรัสตับอักเสบเอ หรือโรคไวรัสลงตับเกิดจากการอักเสบของเซลส์ตับทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือน้อยลงเป็นผลให้เกิดการเจ็บป่วย โรคตับอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเชื้อไวรัสที่พบบ่อยคือเชื้อไวรัสตับอับเสบ เอ และ บี อาการส่วนใหญ่ที่พบมักมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรือโรคดีซ่านแบบเฉียบพลัน ประมาณร้อยละ 60-70 % ของผู้ป่วยมักเกิดจากเชื้อไว้รัสตับอักเสบเอ


อาการ
ตา เหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ในกรณีที่ตับอักเสบอย่างรุนแรงจนตับวาย อาจเป็นผลทำให้เสียชีวิตได้ อาการจะรุนแรงมากขึ้นตามอายุ ในผู้ใหญ่อาการมักจะเริ่มต้น ด้วยการมีไข้ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หลังจากนั้น ประมาณ 3-5 วันจะเริ่มปัสสาวะสีเข้ม และมีไข้ ตาเหลือง ตัวเหลือง ปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา
การติดต่อ
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อโดยการรับประทานอาหาร และดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
การป้องกัน
- รับประทานอาหารและน้ำที่สะอาด
- ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และควรใช้ช้อนกลาง
- ขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
- กำจัดขยะและสิ่งปฎิกูลเพื่อมิให้ปนเปื้อนไปสู่แหล่งน้ำและอาหารของชุมชนได้


ไวรัสตับอักเสบบี ..แม่มีเชื้อ.. ลูกมีโอกาสรับเชื้อ 90 %
เป็น การอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับ ซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ
การติดต่อ

- มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่สวมถุงยาง
- การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- ใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตัวร่วมกันและการเจาะหู
- ใช้แปรงสีฟันร่วมกัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ
- แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด ถ้าแม่มีเชื้อลูกสามารถมีโอกาสได้รับเชื้อ 90 %
- ถูกเข็มติดเชื้อตำจากการทำงาน
- รักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
- โดยการสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดคั่งที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส โดยผ่านเข้ามาทางบาดแผล
การปฎิบัติตัว
เมื่อ ท่านตรวจพบไวรัสตับอักเสบบี ท่านควรจะขอรับคำแนะนำจากแพทย์ในการดูแลตนเองและต้องคำนึงถึงบุคคลใกล้ชิด วิธีการปฎิบัติตัวหากท่านมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
- หากท่านเป็นตับอักเสบบีเฉียบพลัน ท่านไม่ต้องกังวลเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองและมีภูมิคุ้มกัน รับประทานยาและปฎิบัติตาม

คำแนะนำของแพทย์

- รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับท่านมีการอักเสบมากหรือน้อย
- บอกให้คนใกล้ชิดทราบ หากคนใกล้ชิดไม่มีภูมิและไม่มีเชื้อต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัส ตับอักเสบบี
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยาง
- อย่าบริจาคเลือด


ข้อมูลโดย โรงพยาบาลพญาไท

ปวดหลัง



ปวดหลัง คนทำงานหน้าคอมพ์ฯ

สาเหตุ ประมาณร้อยละ 80 ของอาการปวดหลัง มาจากอาการหลังตึง หรือการที่กล้ามเนื้อหลังเกร็ง เคล็ด หรือฉีกขาด มักส่งผลต่อส่วนล่างของช่วงหลังและลำคอ ซึ่งอาการหลังตึง หรือกล้ามเนื้อหลังฉีกขาด อาจจะมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวผิดท่า หรืออยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม การใช้กล้ามเนื้อส่วนเดิมซ้ำๆ การตกจากที่สูง อุบัติเหตุ หรืออาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา การยกของหนัก


อาการ เจ็บปวดแบบนี้จะหายไปภายใน 2-3 วันหลังจากกินยา หรือการยืดเหยียด และการพักผ่อน ในกรณีที่อาการปวดคงอยู่มากกว่า 4 สัปดาห์ ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น กระดูกหัก หรืออาการบาดจ็บอื่นๆ หมอนรองกระดูกเสื่อม ฯลฯ

อาการปวดหลัง มี 2 ลักษณะ คือ
1. อาการปวดบริเวณหลังส่วนล่าง ไม่มีอาการปวดร้าวลงขา จะปวดบริเวณสะโพก ต้นขา ก้นกบ ไม่ปวดต่ำกว่าหัวเข่า
2. อาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างและมีอาการปวดร้าวลงขา อาจจะทั้งสองข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่ง จะปวดต่ำกว่าหัวเข่า (น่อง แข้ง หลังเท้า ส้นเท้า ฝ่าเท้า บางครั้งรู้สึกเหมือนเป็นเหน็บ และอาการจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


อาการที่ควรพบแพทย์ทันที

1. ผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 55 ปี เริ่มมีอาการปวด
2. เริ่มปวดหลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือจากอาการบาดเจ็บอื่นๆ
3. มีอาการปวดบริเวณส่วนบนของกระดูกสันหลัง
4. แขนขา หมดแรง หรือรู้สึกปวดจี๊ดๆ คล้ายถูกไฟดูด
5. มีอาการเจ็บป่วยอย่างอื่นร่วม เช่น มีไข้ ปวดท้อง
6. รู้สึกเจ็บเมื่อยึดตัวไปข้างหน้า


การรักษาอาการปวดหลังและคอ

ส่วน ใหญ่มักหายได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการรักษาที่ซับซ้อน เพียงนอนพักผ่อน กินยาแก้ปวดหรือประคบเย็น อาการก็อาจจะดีขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่วัน หรือไม่เกินสัปดาห์ แต่หากไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์อย่างละเอียด ซึ่งเมื่ออาการมากจนถึงขนาดกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ แพทย์อาจจะวินิจฉัยด้วยการใช้วิธีผ่าตัด ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบัน สามารถผ่าตัดด้วยระบบไมโครสโคป (Microscope) ที่แผลเล็กเพียง 2-3 ซ.ม. พักฟื้นในโรงพยาบาลเพียง 2-3 วันก็กลับบ้านได้ หรือผ่าตัดด้วยระบบเอนโดสโคป (Endoscope) แผลเล็ก บอบช้ำน้อย ไม่ต้องตัดกล้ามเนื้อหรือกระดูก พักฟื้นในโรงพยาบาลเพียง 24 ช.ม. ก็กลับบ้านได้


การป้องกันอาการปวดหลัง

1. อย่าให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักอย่างเดียว สร้างกล้ามเนื้อมาช่วยรับน้ำหนัก นั่นคือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. อย่าให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากเกินไป ต้องรักษาน้ำหนักตัวให้พอดี อย่าให้อ้วนมากจนน้ำหนักเกิน อย่ายกของหนักเกินกำลัง
3. รักษาท่าทางการนั่ง ยืน เดิน ให้ถูกต้อง

นพ.วีระพันธ์ ควรทรงธรรม
โรงพยาบาลบำรุงราฎร์

การตลาดแบบ MLM คืออะไร



การตลาดแบบ MLM คืออะไร

MLM คืออะไรหรือ? ที่จริงแล้ว MLM ย่อมาจากคำว่า Multi Level Marketing การ ตลาดแบบหลายชั้น เรามาเรียกว่าธุรกิจเครือข่ายดีกว่านะ ปัจจุบันนี้เจ้าของธุรกิจหลายๆรายได้นำธุรกิจของตัวเองเข้าสู่ระบบเครือข่าย มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันมีข้อดีคือ ลดภาระค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ พ่อค้าคนกลาง ค่าขนส่งฯลฯ เมื่อภาระต่างๆเหล่านี้น้อยลง เจ้าของธุรกิจก็จะได้มีเวลามาพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการมากขึ้น มีบริษัทที่จดทะเบียนเข้าระบบเครือข่ายนับเป็นหมื่นๆบริษัทในอเมริกา อีกสองหมื่นกว่าบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน ส่วนในไทยก็ประมาณ 400-500 บริษัท เช่น A-Smart ของตระกูลอัศวโภคิน, โสมเกาหลีตังกุยจับ, FreshMart, Uniliver, Loxley, บริษัทยาและอาหารเสริมต่างๆ รวมทั้งข่าวที่ว่าเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังของไทยก็จะโดดเข้าร่วมวงด้วยเช่นกัน

คุณเห็นความจริงและแนวโน้มของธุรกิจเครือข่าย รวมทั้งโอกาส

ของเราที่มีต่อแนวโน้มนี้ไหม



ธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่การรับจ้างทำงานหรือเป็นลูกจ้างของบริษัท

แต่มันคือธุรกิจของคุณเอง การบริหารงานอยู่ในมือคุณ

แล้วคราวนี้คุณจะจัดการกับธุรกิจของคุณอย่างไร

บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM


บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ MLM นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่มีความจริงใจกับลูกค้า และสอนทีมงานให้เป็น
โดยควรจะมีมุมมองดังนี้

1. การแนะนำลูกค้า เราจะต้องคิดเหมือนลูกค้า ต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงความคุ้มค่าในการซื้อสินค้า กล่าวคือ สินค้าของธุรกิจใน MLM มักราคาแพงในเชิงของราคา แต่ในเชิงความคุ้มค่าแล้ว มักจะคุ้มค่ากว่าสินค้าทั่วไป หากผู้ขายไม่เคยทดลองใช้ ไม่เคยเก็บข้อมูลการใช้ด้วยตนเองแล้ว จะไม่มีวันทราบเลยว่า สินค้านั้นคุ้มค่ากับลูกค้าของเรา

2. สินค้าใดหากเราไม่เคยใช้ เราไม่มั่นใจ เราจะไม่นำเสนอ แต่หากลูกค้าสนใจเอง และตัดสินใจซื้อจาก catalog นั่นเป็นสิทธิของลูกค้า

3. เราต้องเน้นสินค้าที่เรามีความชำนาญและถ่ายทอดความรู้ของเราไปให้ทีมงานฟัง สอนให้ทีมงานสะสมความรู้ในสินค้า พิสูจน์ความคุ้มค่าของสินค้าให้กับทีมงาน เพื่อที่ทีมงานของเราจะได้แนะนำสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ



4. คัดสรรทีมงานที่จะเข้ามาในเครือข่ายของตนอย่างพิถีพิถัน เพราะหากเราไปหลอกเขามา เราจะเหนื่อยและเสียเวลาในการสอน สู้คัดบุคคลที่มีความเชื่อมั่นในธุรกิจ เชื่อมั่นว่าธุรกิจ นี้เป็นอนาคตของเขา จะดีกว่ามากเพราะเขาจะมุ่งมั่น ตั้งใจ และดูแลลูกค้าเขาเป็นอย่างดี ซึ่งผลที่ตามมาคือ องค์กรของเราก็จะเติบโตอย่างมั่นคง (โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ล้มเหลวในธุรกิจ MLM มักใจร้อน ใช้วิธีสุ่มคนให้เข้ามาเป็นจำนวนมากๆเข้าไว้ และสอนให้ใช้สินค้ามากๆ ซึ่ง Upline ก็หวังประโยชน์จากการใช้สินค้าของ Downline สุดท้าย Downline ขายไม่เป็น Downline ก็ตาย แล้วไม่นาน Upline ก็ตายตามไปด้วย)

5. ต้องสอนให้ทีมงานตกปลาเป็น หมายถึงต้องสอนให้ทีมงานดูแล เอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี แนะนำสินค้าที่ดีให้กับลูกค้า เมื่อชื่อเสียงเราดี ลูกค้าของเราก็จะขยายชื่อเสียงของเรา ให้เอง เราก็จะค่อยๆมีลูกค้ามากขึ้น นั่นก็หมายถึง รายได้เรามากขึ้นด้วย (แต่หากใครคิดว่าจะมีรายได้มากโดยใช้เวลาสั้นๆนั้น เข้าใจผิด!!! ส่วนใหญ่เป็นภาพลวงตา เพราะผู้ขายมักจะ ขายคนรอบข้างแบบไม่ค่อยเข้าใจสินค้า จึงทำให้เหมือนหลอกขาย ทั้งญาติ เพื่อนฝูง คนรู้จัก สุดท้ายก็จะเสียญาติ เพื่อนฝูงและคนรู้จักไปทั้งหมด นี่แหละสาเหตุของความล้มเหลวในธุรกิจ MLM ทั้งเสียชื่อ และชื่อเสียไปเลย)

6. เข้าฟังการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพราะการฟังผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยกระตุ้นให้เรามีความฮึกเหิมมากขึ้น แต่การฟังต้องฟังอย่างมีสติ วิธีการแต่ละอย่างนั้นดี แต่ต้องนำมาปรับ ใช้กับจริตของตัวเราเอง วิธีที่ดีอาจเหมาะสำหรับคนบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคน ต้องไม่โลภ อยากเลื่อนระดับเร็วๆ เพื่อหวังรายได้ที่มากขึ้น ถ้าขาดสติก็จะนำไปสู่ความคิดที่จะ หลอกขายสินค้า ตุนสินค้า ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ จะนำเราไปสู่ความเสื่อมขององค์กรเอง

7. ต้องใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนโต แต่ให้ทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะความใจร้อน มักสะท้อนความโลภ จนลืมหลักการของผู้แทนจำหน่ายที่ดี ซึ่งต้องจริงใจกับลูกค้า และนำเสนอสิ่งที่คุ้มค่ากับลูกค้าเท่านั้น

8. ไม่ท้อแท้ง่าย ต้องอดทน ทุกธุรกิจย่อมมีคนชอบและไม่ชอบทั้งนั้น หากมีคนไม่เข้าใจเรา ก็พยายามอธิบายให้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ได้เท่าไหนเอาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเครียดนะ จ้ะ เพราะความเครียดจะเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายอีกนานับประการ เมื่อเราอดทนและสามารถอยู่รอดได้ในธุรกิจนี้ เราก็จะมีลูกค้าเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง สาม สี่ ..... นั่นหมายถึงเราก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามตัว

9. ควรเริ่มทำตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เพราะว่าบุคคลหลายคนที่ต้องรีบร้อนโตเพราะตัวเองมีภาระมาก ต้องใช้เงินมาก จึงคิดหาวิธีที่จะหลอกระบบ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือวิธีที่ผิด เพราะลืม พื้นฐานของตัวเอง เพราะลืมไปว่ารายได้ของเรานั้นมาจากการสอนทีมงานให้ดูแลลูกค้าของพวกเขาเป็น และมาจากการดูแลลูกค้าของเราเอง หากไม่ทำสองสิ่งนี้ มามัวแต่จะหลอกระบบ สุดท้ายระบบก็ฆ่าเราเอง หากเราเริ่มตั้งแต่สมัยเรียน ภาระไม่มี ก็จะไม่รีบร้อน ค่อยๆทำธุรกิจของเราไป ค่อยๆโต เรียนจบมาก็สมัครทำงานตามปกติ ทำ MLM เป็น Part time จนรายได้มากพอ ค่อยออกมาทำเต็มตัว ไม่ต้องคอยมาทนนายบ่น นายว่าเช้าเย็น

10. ต้องทำด้วยความเสียสละและมีคุณธรรม การทำอย่างเสียสละคือการช่วยให้ทีมงานประสบความสำเร็จก่อน เราจึงจะประสบความสำเร็จ ต้องให้ทีมงานมากกว่าที่เขาสมควรได้รับ การ ช่วยเหลือต่างสายงานบางครั้งก็จำเป็นต้องทำ ด้วยความใจกว้าง ทำอย่างมีสติ จริงใจ ส่วนเรื่องคุณธรรมนั้นสำคัญอย่างยิ่ง อย่าลืมว่าเรากำลังอยู่ร่วมกับ คน เราจึงต้องไม่ริษยา ไม่นินทา ว่าร้ายผู้อื่น ไม่แย่งทีมงานคนอื่น ไม่โกง ไม่โกหก ไม่ก่อปัญหาชู้สาว ไม่เหยียบหัวทีมงานเพื่อขึ้นตำแหน่ง ไม่ลืมตัว บางคนเพียงแค่ประสบความสำเร็จในระดับปานกลางเท่านั้น ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หยิ่งทะนง ดูถูกคนอื่น คุยข่ม อวดตัว วางก้าม ฯลฯ



ขอเพียงเราทำอย่างจริงจัง ทำอย่างอดทน ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างมีคุณธรรม ศึกษาเรียนรู้สินค้าเพิ่มเติมตลอด เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งเราก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อย่า ลืมว่าธุรกิจ MLM นั้นเป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงก็ต่ำ ถ้าเราประพฤติตัวได้อย่างที่แนะนำทั้ง 10 ข้อ เราก็จะประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง

จงอย่าปิดโอกาสตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง และอย่าให้ใครดูถูกเรา(ถูกหลอก) เลือกองค์กรที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ผ่านการพิสูจน์มาแล้วสักระยะหนึ่ง องค์กรนั้นกำลังโต ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังสู่ขาลง เมื่อเลือกได้แล้วก็ ลุย...เต็มที่เลยครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ



หากท่านมีปัญหา ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

Thongchanh Phonthachack

Network business Consultand


โทร. 856 020 55670662, 020 55673890

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปฏิบัติการปลุกยักษ์ในตัวคุณให้ตื่น

ช่วงหลังๆ มานี้ผู้เขียนได้ยินคำว่า “ปลุกยักษ์” บ่อยมากทั้งจากเพื่อนพองหรือคนรู้จักที่ได้พูดถามถึงกันอยู่หลายครั้ง ทีแรกก็ตีความจากคำแล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องการกระตุ้น การปลุกระดม ปลุกความรู้สึกกระเหี้ยน กระหือรือ ประมาณนี้ ตามความเข้าใจที่ยังไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มให้รู้ และเข้าใจยิ่งขึ้น ถึงรากความหมาย จนเมื่อได้อ่านหนังสือ “เมื่อยักษ์ตื่น” เป็นหนังสือแนว จิตวิทยาบริหาร และ สร้างแรงบันดาลใจ โดยผู้แต่ง คุณสิริลักษณ์ ตันศิริ



เนื้อหาเป็นเรื่องการเล่าเรื่องราว วิธีการ ประสบการณ์ของโค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ ในการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบคนละขั้ว . . จากอดีต นักบัญชี ผู้เฉิ่ม เชย โลกแคบ พูดน้อย จนได้ฉายาว่าเป็น "ซูเปอร์ซิ้ม"

จนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างสุดขั้ว จนกลายมาเป็น “ซูเปอร์วูแมน” เป็นโค้ชด้านการพัฒนาศักยภาพและความสามารถจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางใน ฐานะนักพูดสร้างแรงบันดาลใจหญิงคนแรกของเมืองไทย ผู้สามารถปลุกพลังให้คนนับแสนเปลี่ยนแปลงชีวิตมาแล้วทั่วประเทศ ชีวิตและประสบการณ์ที่ผ่านมาของเธอ จึงน่าจะเป็น “ต้นแบบ” ให้กับผู้ที่ต้องการ “เปลี่ยนแปลงชีวิต” และก้าวสู่ความสำเร็จได้ โดยมีขั้นต้นในฝึกพัฒนาตนเป็นลำดับ เป็นกระบวนการ เน้น ฝึก ฝึก ฝึก แล้วก็ฝึกเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้ เป็นเทคนิคที่โค้ชบอก

ผู้เขียนอ่านแล้วก็คิดต่อมาว่ามนุษย์เรานั้นจะมีสักกี่คนจะเป็นผู้ที่สามารถค้นพบศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ในตนเอง ได้ค้นพบศักยภาพของตนเองออกมา แล้วทำศักยภาพที่หลบซ่อนนั้น ให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมากต่อตนเอง และสังคม

โค้ชสิริลักษณ์เล่าว่าเป็นคนที่รักการเรียนรู้มาก และชอบอ่านหนังสือมาก จึงได้แนวทางเรียนรู้เทคนิคสำคัญ คือ การ Modeling ซึ่งเป็นการแกะแบบคน “ต้นแบบ” ในดวงใจที่ประสบความสำเร็จ ทั้งระบบความคิด รูปแบบการใช้ชีวิต รูปแบบการพัฒนาตัวเอง และรูปแบบความเชื่อ ซึ่งถ้าเราสามารถแกะรูปแบบ ต้นแบบเหล่านี้ แล้วนำมาใช้กับตัวเองได้ เราก็จะสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ในแบบเดียวกันกับเขา โค้ช จึงได้นำชีวิตตัวเองที่เปลี่ยนแปลงมาแล้ว มาแกะรูปแบบระบบความคิด ให้เห็นว่าชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสำเร็จนั้น จะต้องเกิดขึ้นทีละขั้น จากการตัดสินใจ จากการก้าวข้ามความกลัว และจากการลงมือทำในทุกๆวัน ซึ่งถ้าใครได้นำไปใช้ ก็จะได้ผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดี

โค้ชสิริลักษณ์ เน้นการเรียนรู้กับปรมาจารย์ระดับ World Class หลายท่าน เช่น Anthony Robbins, T.Harv Eker, Brian Tracy, Robert Kiyosaki ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก และที่สำคัญคือได้นำเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปลงมือปฏิบัติ ทำให้ชีวิตของโค้ชเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ามหัศจรรย์ จากการมีต้นแบบมาเล่าสู่กันฟัง

ผู้เขียน อ่านแล้วรู้สึกชอบและประทับใจกับเทคนิคการเรียนรู้ จากการมีต้นแบบ จาก ประสบการณ์ตรงเช่นกัน สมัยตอนที่ผู้เขียนทำงานแรกๆ เป็นคนที่เงียบ ตั้งใจ ขยัน มีความรับผิดชอบนะ รวมทั้งตอนเรียนหนังสือทั้งปริญญาตรี และปริญญาโท ผู้เขียนก็ไม่ได้ฉายแววความสามารถโดดเด่นอะไรเลย เป็นคนขี้อาย ขี้กลัว ชีวิตธรรมดาๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น โลดโพ่น ซึ่งตรงกับโค้ชสิริลักษณ์ได้บอกว่า คนเรานั้นได้นำศักยภาพมาใช้เพียงแค่ 7% เท่านั้นเอง แล้วอีก 93 % หายไปไหนค่ะ

จนเมื่อห้าปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้มาร่วมงานกับ ดร.อาภรณ์ ภู่วิทยพันธ์ ที่บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่ง ได้เป็นผู้ดึงศักยภาพในตัวผู้เขียนที่เหลือออกมามากมายเป็นผู้ชักนำให้ได้มี โอกาสเป็นวิทยากรภายใน ทีแรกก็ไม่คิดว่าจะบรรยายได้แต่เมื่อมีต้นแบบให้เห็นก็คิดว่าต้องทำได้ พา ไปศึกษาดูงานกับองค์กรชั้นนำหลายแห่ง ส่งให้เข้าอบรมเพิ่มเติมความรู้กับวิทยากรที่เก่งๆ มากมาย จนมีความรู้เพิ่มขึ้นจนมาถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังช่วยส่งเสริมเป็นผู้ช่วยดร.อาภรณ์ ในการแต่งหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรโดยใช้ Competency ถึงสามเล่มที่ผ่านมา ให้ติดตามในการเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาตลอดมา จนเพื่อนเก่าทั้งสมัยทำงาน และเพื่อนสมัยเรียนยังบอกผู้เขียนว่า ปัจจุบันผู้เขียนเปลี่ยนแปลงศักยภาพไปในทางทีดีขึ้น เหมือนตนเองมีความโดดเด่นขึ้น มีความชัดเจน มีเป้าหมาย และค้นหาตัวเองพบ ผู้เขียนก็ต้องขอขอบคุณ ดร.อาภรณ์ ภู่วิทยพันธ์ มาณ.ที่นี้ ที่ได้ให้โอกาสและได้ดึงศักยภาพของผู้เขียน และได้เป็น “ต้นแบบ” ที่ดี ที่ทำให้ผู้เขียนค้นหาศักยภาพตัวเองพบ

แต่ ทั้งนี้ ทั้งนั้นความสำเร็จของเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร หากขาดความมุ่งมั่น ความตั้งใจจริง ที่จะทำแล้วก็ยากที่จะสำเร็จลงได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราต้องการที่จะทำอะไรสักอย่างย่อมมีอุปสรรคเสมอ นั่นก็คือ “ใจ” ของเราจิตใต้สำนึก ความคิดที่เกิดจากความกลัว ความกังวลเป็นอุปสรรคสำคัญ

หากท่านผู้อ่านได้ฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงตนเองจากที่เคยเป็น ฝ่าด่านความกลัว ความท้อแท้ ความหวาดระแวง ความอคติ หรือการมองชีวิตในแง่ลบ สร้างแรงกระตุ้น แรงจูงใจ แรงบันดาลใจให้กับตนเอง หากความรู้สึก อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร การแสดงตน การปฏิบัติตนของเราก็จะออกมาจากจิตใต้สำนึกเท่านั้น ดังนั้นเปลี่ยนแปลงนิสัยจากเดิมๆที่เคย เพื่อเป็นคนใหม่ที่สดใสกว่าเดิมจากที่เคยเป็นสิ อย่างที่คุณเองก็ทำได้ไม่ยาก “เปลี่ยนมุมคิด ชีวิตเปลี่ยน” เห็นว่าคำนี้น่าเป็นจริง และทำได้ไม่ยาก หากแต่ต้องฝึก การฝึกฝนให้มากๆๆๆ อย่างที่โค้ชสิริลักษณ์ได้แนะนำไว้

หนังสือ “เมื่อยักษ์ตื่น” กล่าวว่า คนทุกคนมียักษ์อยู่ในตัว คุณรู้หรือไม่ค่ะว่า คุณมียักษ์อยู่ในตัว? วิธีการปลุกยักษ์ที่หลับไหลให้ตื่น ประกาศให้ยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณได้รับรู้ วิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบพลิกฝ่ามือกลายเป็นคนใหม่

โดยพูดกับตัวเองทุกๆเรื่อง และบ่อยๆว่า Yes Yes Yes เราทำได้

เราเก่ง เราฉลาดที่สุด มองตนเองและสิ่งรอบด้านให้มีความสุข

ฝึกปฏิบัติการปลุกยักษ์ของคุณโดยขอให้ลงมือทำในปัจจุบันทันทีเดี๋ยวนี้

เทคนิคอีกประการขอให้คุณลุกขึ้นยืน กำหมัดแน่นๆ แล้วตั้งใจประกาศกับตัวเอง

ดังๆ อย่างเข้มแข็ง จริงจังว่า “ฉันรับผิดชอบชีวิตของฉันเอง”

“นับจากนี้ไปของความมุ่งมั่น ของความอดทน ของความพากเพียรพยายาม ฉ้น

จะทำจนกว่าความฝันของฉันเป็นจริง ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้!!!

ให้ใส่สภาวะอารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้นเข้าไปด้วย และให้แสดงออกมาทางน้ำเสียง สีหน้า แววตา ท่าทางร่างกายของเรา อย่าพูดแบบไร้อารมณ์ เพราะสมองและจิตใต้สำนึกจะรับได้เร็ว ถ้าเราพูดโดยใส่อารมณ์ที่เข้มข้นลงไป นี่คือสุดยอด เทคนิคการ “ปลุกยักษ์” ที่ทรงพลังมากๆๆ กรุณาพูดให้พลังตัวเองบ่อยๆ ทุกๆ วันนะค่ะ

และการจิตนาการ การดึงสิ่งที่คุณปรารถนาทุกวันนะคะ นี้คือ สุดยอดเคล็ดลับวิชาและเทคนิคที่ทรงพลังมากๆๆ คุณกำลังจะ “ดึงดูด” ทุกอย่างที่คุณจินตนาการเข้ามาในชีวิตค่ะ เพราะ จินตนาบ่อยๆ ถึงสิ่งที่คุณใฝ่ฝัน

ผู้เขียนชอบคำว่านี้อีกแล้ว “จินตนาการ” ซึ่งได้มีกัณยาณมิตรได้มอบหนังสือ “โชคดี” ของพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก เนื้อหาตอนนี้หนึ่งได้หยิบยก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ (Imagination is more important than knowledge” ในผู้ปฏิบัติธรรม จินตนาการ ไม่ใช่ การนึกคิด ปรุง แต่ง ฟุ้งซ่าน แต่จินตนาการเป็นเรื่อง การศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งที่ควรเชื่อ เมื่อเรามีศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้วเราก็จะตั้งใจมุ่งมั่นและพยายามที่ บรรลุถึงเป้าหมาย

พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก กล่าวว่า จินตนาการ คือ ความศรัทธา ความเชื่อมั่นว่าธรรมชาติของจิต ที่บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือ ขี้เกียจ ขี้โกรธ ขี้ฟุ้งซ่าน ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา เป็นต้น หากสิ่งเหล่านี้มาเยี่ยมเยือนเราขอให้คิดว่าเป็นแขกของเราเท่านั้น และจะไม่ทำให้จิตใจของเศร้าหมองมาเกาะติด ฝังแน่นในใจ ในอารมณ์ของเราให้ขุ่นมัว

ทำตนเองให้มีความภูมิใจกับตัวเราเอง ภูมิใจ กับการทำงานมากๆ และมีกำลังใจที่ดีมากยิ่งขึ้น มีสติปัญญาในการคิดมากขึ้น และรู้สึกซาบซึ้งในหัวใจ โชคดีที่บริษัทรับเราเข้าทำงาน โชคดีจังที่เรามีงานทำ โชคดีจังมีครอบครัวที่ดี โชคดีจังมีลูกที่ดี โชคดีจังมีเพื่อนที่ดี คิดเชิงบวกให้กับตัวเอง กับคนรอบข้างให้มากๆ จะช่วยให้มีสติ

วันนี้.. อย่าลืมพูดกับตัวเองในสิ่งที่ดีๆนะคะ..

ฉันเก่ง ฉันทำได้ ฉันน่ารัก ฉันสดใส ฉันร่าเริ่ง ฉันมีความสุข

หมอเส็ง Ban Muangnga(Luang Prabang)Lao PDR


หมอเส็ง Ban Muangnga(Luang Prabang)Lao PDR

โทร. 856 020 55670662, 020 55673890


ใน ปัจจุบันนี้ การเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเราล้วนเป็นผลมาจากการดำเนินชีวิตประจำวันของเราทั้ง สิ้น ส่วนมากเรามักจะไม่ค่อยสนใจต่อสุขภาพของตนเอง มีการใช้ร่างกายอย่างฟุ่มเฟือย เมื่อเจ็บป่วย ก็จะปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของแพทย์ในการรักษาโรค แม้ว่าวง การแพทย์ของเราได้มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันการพัฒนาการของโรคก็มีการพัฒนาตามไปด้วย มีโรคใหม่ที่เป็นอันตรายเกิดขึ้นมากมายเช่น โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ โรคเอดส์ โรคเกี่ยวกับการบริโภคเช่นโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

โรค ต่างๆข้างต้น แสดงให้เห็นว่าเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม มลพิษ คุณภาพอาหารและการบริโภค ภาวะความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าเราี่ต้องการมีสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ เพื่อให้เรามีภูมิต้านทานต่อโรค ร่างกายก็จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย

การแพทย์ทางเลือกหรือ การแพทย์แบบผสมผสาน อาจมีรายละเอียดปลีกย่อยและแตกต่างกันไปบ้าง แต่ประเด็นสำคัญใหญ่ๆก็คือ การเลือกสรรอาหาร พืชผัก สมุนไพรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การออกกำลังกายเสริมสร้างสุขภาพ การพักผ่อน การฝึกควบคุมอารมณ์และจิตใจ เหล่านี้ล้วนเป็นวิถีเพื่อสุขภาพที่ประหยัดและเป็นธรรมชาติ ในการสร้างเสริมภูมิชีวิตให้แข็งแรง ช่วยตนเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

การแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) คือการรักษาพยาบาลอีกรูปแบบหนึ่ง แตกต่างไปจากการแพทย์แผนปัจจุบัน มีหลายทางให้เลือกรักษา เพื่อให้เหมาะกับตัวเราเอง เช่น การนวดกดจุด การฝังเข็ม การใช้สมุนไพร กินอาหารแบบชีวจิต ออกซิเจนบำบัด วารีบำบัด การฝึกลมปราณ ฯลฯ


หมอเส็ง คือการแพทย์ทางเลือก หมอเส็งคือนายแพทย์แผนโบราณจดทะเบียนที่ใช้สมุนไพรในการปรับสมดุลภายในร่างกาย หลักการคือช่วยให้ธาตุทั้งสี่ภายในร่างกายทำงานได้อย่างปกติและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่ออวัยวะต่างๆภายในร่างกายทำงานได้ตามปกติ ภูมิต้านทานโรคของเราก็ทำงานอย่างมีประสิทธิผล โรคร้ายต่างๆก็ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ใช้ร่างกายเราเยียวยาตัวมันเอง เสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

ลองมองย้อนกลับไปดูตั้งแต่ตื่นเช้าจนหลับในแต่ละวัน ว่าเราเจอมลภาวะอะไรบ้าง ไม่ว่าอากาศที่เราหายใจ อาหารที่รับประทาน น้ำที่ดื่ม ปัญหาต่างๆโดยเฉพาะความเครียด ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาอนุมูลอิสระ (Free Radicals) สะสมอยู่ในร่างกายเป็นประจำทุกวันแบบไม่รู้ตัว วันนี้คุณอาจจะยังแข็งแรงอยู่ แต่เมื่อใดที่ภูมิต้านทานคุณอ่อนแอ เมื่อนั้นโรคต่างๆก็จะแสดงอาการออกมา

สาเหตุหลักที่เกิดโรคเหล่านี้ก็คือเจ้าอนุมูลอิสระนี่เองที่ไปทำให้เซลล์อ่อนแอ หรือเซลล์ขาดออกซิเจน มันจะทำลายตั้งแต่ระดับเซลล์ไปจนถึงระดับอวัยวะ วารสารการแพทย์ต่างๆทั่วโลก ได้ตีพิมพ์ถึงผลการค้นคว้าหาวิธีหลีกเลี่ยง และปราบปรามเจ้าอนุมูลอิสระเหล่านี้ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีการกินอาหารที่มีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนซ์นั่นเอง

หมอเส็งได้นำสมุนไพรที่มีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนซ์หลากหลายชนิด มาผสมผสานเข้ากันอย่างได้สัดส่วนที่เหมาะสม เสริมฤทธิ์ยาของสมุนไพรแต่ละตัวซึ่งมีคุณสมบัติเด่นไม่เหมือนกัน ทำให้สมุนไพรของหมอเส็ง ช่วยบำบัด เยียวยา เสริมสร้าง ป้องกันร่างกาย เราให้มีภูมิต้านทานโรคได้ ผู้ป่วยหลายๆท่านที่รักษาทางแผนปัจจุบันไม่หาย เมื่อมาทานยาคุณหมอเส็ง อาการต่างๆที่เป็นก็ค่อยๆดีขึ้น คุณหมอเส็งได้สมญานามว่า "หมอเส็งเจ้าแห่งสมุนไพรไทย"

หมอเส็งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณในสาขาเภสัชกรรมเมื่อ 25 สิงหาคม 2538 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณในสาขาเวชกรรมเมื่อ 26 สิงหาคม 2539 ดังนั้น หมอเส็งจึงเป็นนายแพทย์แผนโบราณที่สามารถตรวจ วินิจฉัย รักษาโรคได้ จ่ายยาได้อย่างถูกหลักการแบบแพทย์แผนโบราณ หมอเส็งได้ช่วยผู้ป่วยจำนวนมากที่รักษาแบบแผนปัจจุบันแล้วไม่หาย ช่วยให้ผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือก หรือไม่ได้เลือกในวิธีการรักษา ให้สามารถมีทางเลือกในการแพทย์ทางเลือกที่ดีสำหรับตัวเองได้

ท่านที่สนใจการแพทย์ทางเลือก ต้องการให้คุณหมอเส็งตรวจสุขภาพ (แมะ) ฟรี!!!

คลิ๊กที่นี่



ผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยง่าย ซึมเศร้า มึนงง เบื่ออาหาร หน้าตาซูบซีด

ขอแนะนำ ยาบำรุงร่างกายเบอร์ 2 ของหมอเส็ง ที่มีสมุนไพรถึง 38 ชนิด



ปัญหาที่พบบ่อยๆ ปัญหาที่รบกวนใจ

คุณมีทางเลือกไหม? หมอเส็ง มีคำตอบ

อยากมีลูก......... รอไข่ตกก็แล้ว คัดเชื้อก็แล้ว ทำกิฟท์ก็แล้ว ยังไม่เห็นมีเลย

ทำไงดี????

มีทางครับ....... มีทาง..... ทางเลือกใหม่ไงครับ ใช้การแพทย์ทางเลือกเพื่อเพิ่มเสปิร์มให้ฝ่ายชาย บำรุง รักษามดลูกฝ่ายหญิงให้สะอาดแข็งแรงเหมาะแก่การฝังตัวของไข่ วิธีการทั้งหมดนี้ใช้สมุนไพรในการปรับสภาพของร่างกาย ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง แน่นอน

ปวด หน่วงท้องน้อย ปวดหลัง คลอดลูกแล้วไม่ได้อยู่ไฟ ฯลฯ หาหมอแผนปัจจุบันก็ได้แต่ยาแก้อักเสบ ทานแล้วก็ไม่หาย ตกขาวก็มากขึ้นมีกลิ่นเหม็น

อยากจะบอกว่า สมุนไพรว่านชักมดลูกของหมอเส็งคือทางเลือก คุณ มีสิทธิ์เลือกด้วยตัวคุณเอง ปัญหาการปวดหน่วง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมดลูกต่ำ ยกของหนัก ยืนนานๆ เดินมากๆ ตัวว่านชักมดลูกหมอเส็งจะช่วงให้มดลูกเข้าอู่ ทำความสะอาดมดลูก ช่วยให้ระบบนิเวศภายในช่องคลอดอยู่ในภาวะสมดุล

ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรหมอเส็ง


ยาบำรุงร่างกายเบอร์ 2 ตราหมอเส็ง
เป็นยาบำรุงร่ายกาย
ส่วนประกอบ: ในน้ำยา 1000 ซีซี เตรียมจากส่วนประกอบสำคัญ

โสมเกาหลี 90 กรัม

แปะฮะ 90 กรัม

กฤษณา 70 กรัม


และตัวยาอื่นๆ

วิธีรับประทาน
รับประทานครั้งละ 30 – 50 ซีซี วันละ 2 – 3 ครั้ง หลังอาหาร

เด็กอายุ 8 – 12 ขวบ รับประทานครั้งละ 15 – 25 ซีซี

ราคาขาย 2,500 บาท

ราคาสมาชิก 2,150 บาท


ยาสตรีหลังการคลอดบุตร
ใช้แทนการอยู่ไฟ มดลูกเข้าอู่
ป็นยาใช้สำหรับการอยู่ไฟ
ช่วยขับน้ำคาวปลา
ช่วยให้มดลูกเข้าอู่

ในน้ำยา 4,200 มล. เตรียมจากส่วนประกอบ
ว่านชักมดลูก 160 กรัม
ฝาง 160 กรัม
ตังกุย 160 กรัม
ดอกคำฝอย 160 กรัม
อบเชยเทศ 80 กรัม
และตัวยาอื่นๆ

วิธีรับประทาน
รับประทานครั้งละ 30 มล. วันละ 2 ครั้ง
ก่อนอาหารเช้า – เย็น

ราคาขาย 3,700 บาท

ราคาสมาชิก 3,200 บาท

ยาน้ำกระชายดำสูตร 2 ตราหมอเส็ง

เป็นยาบำรุงร่างกาย
ยาน้ำกระชายดำสูตร 2 ตราหมอเส็ง
เป็นยาบำรุงร่างกาย

ราคาสมาชิก 1,750 บาท
ราคาขาย 2,000 บาท



ยาน้ำว่านชักมดลูกสูตร 1 ตราหมอเส็ง

แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
ส่วนประกอบ : ในน้ำยา 2,255 ซีซี เตรียมจากส่วนประกอบสำคัญ
ว่านชักมดลูก 100 กรัม
เล็กตี่อึ้ง 100 กรัม
ฝาง 100 กรัม
โกฐเชียง 100 กรัม
และตัวยาอื่นๆ

วิธีรับประทาน
รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หรือ 30 ซีซี
วันละ 2 ครั้ง (ก่อนอาหาร) เช้า – เย็น

ราคาขาย 3,200 บาท

ราคาสมาชิก 2,700 บาท


ยาบรรเทาริดสีดวงทวารหนัก (แคปซูล)ตราหมอเส็ง




ใช้บรรเทาอาการริดสีดวงทวารหนัก

มีส่วนประกอบสำคัญคือ โกฐกักกรา, เพชรสังฆาต, โกฐน้ำตาและตัวยาอื่นๆ
บรรเทาริดสีดวงทวารหนัก

ราคาขาย 1,200 บาท

ราคาสมาชิก 970 บาท

ขมิ้นชันตราหมอเส็ง



บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง


ส่วนประกอบสำคัญ : ใน 1 แค็ปซูล

ผงขมิ้นชัน 30% (150 มิลลิกรัม)
ผงใบสะระแหน่ 10% (50 มิลลิกรัม)
ผงเมล็ดเก๋ากี้ 10% (50 มิลลิกรัม)
ผงดอกเก็กฮวย 10% (50 มิลลิกรัม)
ผงรากบัวหลวง 9% (45 มิลลิกรัม)
ผงใบพลูคาว 7% (35 มิลลิกรัม)
ผงรากตังกุย 4% (20 มิลลิกรัม)
และอื่นๆอีก

วิธีรับประทาน
รับประทานครั้งละ 2 – 4 แคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น

ราคาขาย 2,000 บาท

ราคาสมาชิก 1,750 บาท

ยาบำรุงร่างกาย (แคปซูล) เผาผลาญไขมันตราหมอเส็ง


เป็นยาบำรุงร่างกาย
ป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยเผาผลาญไขมัน

ในยา 480 กรัมมีส่วนประกอบสำคัญคือ

โสมเกาหลี 90 กรัม

โกฐเชียง 90 กรัม

อึ้งคี้ 90 กรัม

และตัวยาอื่นๆ

ราคาขาย 2,200 บาท

ยาว่านชักมดลูกเบอร์ 2 (ชนิดแคปซูล) สมุนไพรหน้าขาวตราหมอเส็ง
แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ

เป็นยาแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับน้ำคาวปลา

ในยา 240 กรัมมีส่วนประกอบสำคัญคือ

ว่านชักมดลูก 70 กรัม

ฝาง 35 กรัม

โกฐเชียง 50 กรัม

เอี๊ยะบ่อเช่า 35 กรัม

และตัวยาอื่นๆ

รับประทานครั้งละ 2-3 แคปซูล

วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น

หลังอาหาร

ราคาขาย 2,200 บาท

ราคาสมาชิก 1,950 บาท


ยาบำรุงร่างกาย234 ชนิดแคปซูล



เป็นยาบำรุงร่างกาย
สรรพคุณ : เป็นยาบำรุงร่างกาย
ส่วนประกอบ: ในยา 85 กรัม มีส่วนประกอบสำคัญ
โสมเกาหลี 16 กรัม
ตังกุย 12 กรัม
อังคี้ 17 กรัม
และตัวยาอื่นๆ

วิธีรับประทาน
รับประทานครั้งละ 2 – 4 แคปซูล วันละ 2 – 3 ครั้ง หลังอาหาร

ราคาขาย 2,600 บาท

ราคาสมาชิก 2,300 บาท

Call: 856 020 55670662

Mr Thongchanh Phonthachack

วิธีดื่มน้ำ จากคุณหมอ





ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ

1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น

เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอก จากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ

เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ

ถ้าเรา ดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับ ร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไป ประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ) หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไป แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ นอก จากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้ อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณ มากผสมน้ำนำมาขาย แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ" หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ

ครบห้า ข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่ บอกครับ หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก

ชาเขียว Green tea


ชาเขียว Green tea

เรื่องของชาเขียว
ชา มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ซึ่งใบชาแต่ละพันธุ์จะนำมาผลิตเป็นชาต่างๆ เช่น ชาเขียว ชาดำ ชาอูหลง โดยขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต หลังจากการเก็บเกี่ยวจะนำใบชาไปตากแดด จึงเกิดกระบวนการหมักตัวขึ้น ทำให้ใบชามีสีน้ำตาล เมื่อชงน้ำจะมีรสเข้มข้นและมีกลิ่นหอมฉุน โดยชาดำนั้นจะใช้เวลาในการหมักนานกว่าการหมักชาอูหลง


ส่วน ชาเขียวที่เรานิยมกันมากนั้น เมื่อเก็บเกี่ยวใบชาเสร็จก็จะนำยอดใบชาไปอบไอน้ำทันที โดยใช้อุณหภูมิสูงในการอบและจะใช้เวลาในการอบไม่นาน เพื่อทำให้ใบชาแห้ง มีสีเขียวและมีคุณภาพเทียบเท่ากับใบชาสด ทำให้ไม่สูญเสียสารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญไปมากนัก


ในชา ทั้งหลายล้วนมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ เพราะในชามีสารที่มีคุณสมบัติในการต้านสารอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี 20 เท่า ในชาเขียวยังมีสารที่สำคัญคือสารโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ


คน จีนใช้ชาเขียวเป็นยารักษาโรคมาไม่น้อยกว่า 4,000 ปีแล้ว เพราะมันมีคุณสมบัติช่วยชะลอภาวะแก่ก่อนวัย สามารถรักษาระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ อีกทั้งยังสกัดกั้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เปลี่ยนแปลงความเครียดในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดหลอดเลือดตีบ ลดปัจจัยเสี่ยงของการป่วยเป็นโรคหัวใจ ช่วยลดระดับไขมันอิ่มตัว ซึ่งจะยับยั้งไม่ให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันที่เส้นเลือด รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการก่อตัวของตะกอนไขมันที่ผนังเลือด


นอก จากคุณสมบัติที่ได้กล่าวไปข้างต้น ชาเขียวยังมีประโยชน์ในการล้างพิษออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตาม การดื่มชาก็มีโทษเช่นกันเพราะในใบชามีกรดแทนนิก (Tannic Acid) ประกอบอยู่ ซึ่งจะพบในชาแดงมากกว่าชาเขียว ดังนั้น ควรเลือกรับประทานใบชาที่มีคุณภาพดีจะให้ประโยชน์กับร่างกายได้ดีกว่า เพราะยิ่งใบชาเกรดต่ำก็จะยิ่งมีกรดแทนนิกสูง ซึ่งจะไม่ดีต่อระบบทางเดินอาหาร และเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการรับประทานชาเขียว ควรเลือกดื่มชาเขียวที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ และควรเลือกดื่มชาเขียวแบบร้อนแทนชาเขียวแบบแช่เย็นหรือใส่น้ำแข็ง และไม่ควรเติมนมและน้ำตาลลงในชาเขียวเพราะนอกจากจะลดคุณประโยชน์ของชาเขียว แล้ว ยังเพิ่มปริมาณไขมันและน้ำตาลที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายด้วย