ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บทความจากหมอเส็ง


บทความจากหมอเส็ง

การดำรงชีวิตของมนุษย์นับแต่โบราณ พวกเขามีความเกื้อกูลและใกล้ชิดกับธรรมชาติ ยามเจ็บไข้ไม่สบายหนทางในการรักษา เขาใช้วิธีแบบธรรมชาติเป็นหลักผสมผสานกับวิทยาการการักษาโรคแบบดั้งเดิมที่ ถือเป็นศาสตร์ทรงพลังอันเร้นลับ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงนำศาสตร์การรักษาบบนี้มาใช้ควบคู่กันอยู่กับการแพทย์ แผนโบราณ
ศาสตร์แห่งพลังในการ " แมะ " เพื่อตรวจโรคเป็นวิชาที่กำเนิดจากประเทศจีนมานับเป็นพันๆปี หมอจีนแผนโบราณที่เชี่ยวชาญการรักษาโรคจะใช้เวลาในการสัมผัสชีพจรคนของคนไข้ เพียงไม่กี่วินาทีก็จะรู้ได้ในทันทีว่า คนไข้ผู้นั้นเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรซึ่งเป็นการวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องและแม่นยำ
กล่าวกันว่า " วิชาแมะ " เป็นศาสตร์แห่งการใช้พลังจิตอีกแขนงหนึ่ง เพราะเหตุที่ต้องใช้สมาธิระหว่างการสัมผัสเพราะฉนั้น " หมอแมะ " จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงพอจึงจะเป็นคนสัมผัสไวหรือมีความรู้สึกไวต่อ การสัมผัสชีพจรของคนไข้ ขณะอยู่ในสภาวะที่สงบนิ่ง หมอแมะจะรับรู้สภาพความเป็นไปของผู้ป่วยทางจิต
ในเมืองไทยเรามีหมอแมะพลังจิตที่รับรักษาและตรวจโรคด้วยวิธีแบบจีนผสมผสาน กับการใช้สมุนไพรธรรมชาติหลายคนแต่มีอยู่ครหนึ่งที่รับรักษาด้วยวิธีการนี้ มากว่า 40 ปี และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของบุคคลหลายๆวงการ จนได้รับขนานนามว่า " หมอเส็ง.....หมอเทวดา "
" หมอเส็ง " คุณฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร เดิมเป็นคน อำเภอแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา แต่มาเติบโตตั้งรกรากอยู่ในกรุงเทพฯ ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 8 คน หมอเส็งเป็นเพียงคนเดียวที่สืบทอดศาสตร์ในการรักษาโรคโดยแพทย์แผนโบราณมาจาก คุณพ่อ " คุณพ่อผมมาจากเมืองจีน มณฑลกวางตุ้ง ตระกูลของคุณพ่อผมเป็นตระกูลแผนโบราณที่สืบทอดกันมานับร้อยๆปีก็ว่าได้ สมัยพ่อผมท่านก็เปิดร้านขายยาสมุนไพรไทยมากขึ้น ผมเองก็ได้เรียนรู้คลุกคลีกับท่านมาตั้งแต่เด็ก คอยเป็นลูกมือของคุณพ่อ เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำ จะผสมยา หั่นยา กวาดยา หรือเก็บยายังไงก็ต้องทำแล้วยาแต่ละตัวออกฤทธิ์อย่างไร รสฝาดหรือขม อันนี้ก็ต้องรู้ "
หมอเส็ง เริ่มต้นเป็นแพทย์แผนโบราณ เมื่ออายุ 18 ปี กระทั่งปัจจุบัน หมอเส็งได้เล่าถึงประสบการณ์ในการรักษาคนไข้ในสมัยแรกเริ่มว่า " สมัยแรกที่เริ่มศึกษา ผมก็รักษาโรคพื้นๆก่อน เช่น พวกปวดหัว ตัวร้อน ปวดข้อ ปวดกระดูก ใจสั่น เป็นลม คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นอะไรเพราะเขากินแต่ของที่เป็นธรรมชาติ กินยาสมุนไพร และสมัยที่ผมอายุ 20 ปี คนในสมัยนั้นไม่มีนะที่จะเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็งสมัยก่อนก็ไม่ค่อยเห็น ตามร้านขายยาสมุนไพรสมัยนั้น มียาอยู่ไม่กี่ตัว มีแค่ยาเขียว ยาหมอ ยาแก้ไข้ ยามหาจักร ยากุมารอ้วนพี มีขายยาไม่กี่สิบตัวและสมุนไพรที่ใช้ก็เก็บมาจากป่า เดี๋ยวนี้ป่าหมดไปเยอะทำให้สมุนไพรไทยหายไป แต่ก่อนป่ามีทั่วไปในเมืองไทย มีป่าที่ไหนมีสมุนไพรที่นั่น ตามท้องนาใกล้บ้านก็มีสมุนไพรอยู่ สมัยก่อนคนที่ขายสมุนไพร เขาจะมีเรือไปเก็บสมุนไพรทางภาคเหนือและภาคใต้หรือมีเรือไปรับซื้อ บางครั้งก็มีชาวบ้านเอาลงเรือลงรถไฟมาขายให้ก็มีและวิธีการรักษาของผมในยุค นั้นก็ใช้แพทย์แผนไทยผสมจีน มีการแมะจับชีพจร "

" การแมะ " หรือการตรวจจับชีพจรเป็นอย่างไร หมอเส็งได้อธิบายให้ฟังว่า
"การ แมะนั้นจะเกี่ยวข้องกับการมีสมาธิ คนตรวจจะต้องมีสมาธิพอสมควร ถ้าคนที่แมะเก่งๆหากตรวจหัวใจของคนไข้ บางทีต้องควบคุมการเต้นของหัวใจตัวเองกับคนไข้ว่ามีจังหวะเดียวกันไหม เพราะฉนั้นการฝึกสมาธิต้องมีบ้าง มาถึงจะไปจับส่งเดชไม่ได้นะครับ แล้วการจับตรวจชีพจรนี่ก็จับตรวจโรคได้บางอย่าง บางอย่างก็ตรวจไม่พบ ไม่ใช่ว่าพอจับชีพจรแล้วจะตรวจพบหมดนะครับ การตรวจชีพจรเนี่ยมันบอกถึงการเต้นของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด ความร้อนความเย็นในร่างกายมันจะบอกได้จากชีพจรทั้งนั้นเลย เพราะฉนั้นรหัสการเต้นของชีพจรก็คือรหัสของโรค เราต้องอ่านรหัสแล้วแปลเป็นโรค วิธีการจับก็อยู่ในบริเวณข้อมือซึ่งจะมีชีพจรอยู่ ซึ่งถ้าชำนาญจับเดี๋ยวเดียวก็รู้ "
ความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคด้วยแพทย์แผนโบราณทั้งไทยและจีนของหมอเส็งเป็น ที่รู้จักกันมานานหลายๆคนเป็นโรคที่เรื้อรังรักษาไม่หายแต่พอมาหาหมอเส็งโรค นั้นกลับหายสนิท จนเป็นที่มาของการขนานนามหมอเส็งว่า " หมอเทวดา "
" หัวเราะ " อย่าไปพูดอย่างนั้นเลยคือผมเป็นคนที่ถือหลักธรรมชาติเป็นหลักในชีวิตกับที่ มาของชื่อนี้ก็คือเมื่อสมัยก่อนผมไปรักษาพระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง พอดีท่านป่วยหนักด้วยโรคหัวใจ ลูกศิษย์ของท่านก็เชิญผมไปรักษาที่วัดป่าบ้านตาด ผมก็ตรวจและจัดยาถวายท่านจนหายและท่ายก็เรียกผมว่า......โยมหมอเทวดา " (หลวงพ่อที่หมอเส็งกล่าวถึงนั่นก็คือ หลวงตามหาบัวนั่นเอง)

ระยะเวลาของการรักษาแต่ละโรคนานมั้ยค่ะ ?

" ส่วนมากที่นี่เราจะรับประกันได้ว่าจ่ายยาปุ๊ปต้องได้ผล ผมจะจ่ายยาให้คนไข้ครั้งละ 10 วันและถ้า 10 วันไปแล้วไม่ดีขึ้นคุณกลับมาเราจะเปลี่ยนยาให้โดยไม่เสียเงินเลยและถ้า เปลี่ยนแล้วยังไม่ได้ผล คุณเอาเงินคืนไปผมไม่รักษาต่อ คือการเป็นหมอเนี่ยเราจะรักษาโรคทุกอย่างให้หายไม่ได้ ไม่ใช้ว่ามาแล้วเราจะรับรักษาหมด เราต้องรู้ความสามารถของเราว่าอยู่ตรงไหน อย่างผมถนัดทางโรคหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง โรคภูมิแพ้ในเด็ก โรคของผู้หญิงเกี่ยวกับมดลูกอันนี้รับประกันว่าได้ผลแน่นอนเรารักษาได้ อย่างโรคหัวใจเรารับรักษาโดยใช้สมุนไพรหลายตัว ถ้าใครพูดว่ารักษาโรคหัวใจโดยใช้สมุนไพรตัวนั้นตัวนี้ดเพียงตัวเดียวไม่ได้ ผลหรอก สมุนไพรแต่ละตัวมีฤทธิ์จริงแต่ก็ต้องเอาผสมกันจึงจะได้ผล สมุนไพรรักษาโรคหัวใจก็มีพวกจันทร์ขาว จันทร์หอม เทียนทั้ง 5 ว่านน้ำ ฯลฯ มีเป็นตำรับเอามาต้มหรือบดเป็นผงกินก็ได้ซึ่งแต่ละคนจะมีวิธีใช้ไม่เหมือน กัน เราต้องดูคนไข้ด้วย "

เคยใช้ " พลังจิต " มารักษาควบคู่กับสมุนไพรธรรมชาติมั้ยค่ะ ?

" ถามว่าเคยมั้ย เอาเป็นว่าถ้าใครที่มีพลังจิตอ่อนแอผมรักษาได้ ในเมื่อจิตเป็นพลังงาน เราก็เพิ่มพลังให้เขาจนจิตแข็งแรง แล้วเขาก็จะต่อสู้เอง เขาจะเลิกกลัวเลิกวิตกกังวล คนเราชอบคิดว่าพลังจิตเป็นของพิสดาร ความจริงไม่ใช่ของพิสดารหรอกทุกคนก็มีจิตเป็นต้นกำเนิดของพลังงานถ้าจิตเสีย คือ ตื่นเต้นง่าย เครียด ห่อเหี่ยว ขี้กลัว ไม่มั่นใจในตัวเองก็จะทำให้พลังงานของเราลดลงไปทันทีเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ง่ายหรือถ้าจิตเวลาไปงานศพกลับมาก็มักจะไม่สบาย ตรงนี้มันสื่อถึงกันได้รับสิ่งไม่ดีกลับมาได้ง่าย "

สมัยนี้โรคแปลกๆมันเกิดขึ้นมาเยอะจะมีวิธีไหนที่จะป้องกันโรคได้บ้างค่ะ ?

" มันยาก ทำยาก เพราะทุกวันนี้ทุกอย่างมันก้าวหน้าเกินไป สารเคมีเยอะไม่ว่าจะเป็น พืช ผัก ผลไม้ ใช้เคมีตลอด ข้าวก็มีเคมีหรือแม้แต่สัตว์อย่างไก่ สมัยก่อนต้องเลี้ยงถึง 6 เดือนถึงจะได้กินแต่เดี๋ยวนี้ 45 วันก็ได้กินแล้ว โรคแปลกๆที่เกิดขึ้นทุกวันนี้หลายโรคแพทย์แผนปัจจุบันยังหาวิธีรักษาไม่ได้ เป็นเพราะสิ่งแปลกปลอมในบรรยากาศคือมลพิษทางอากาศ สารเคมีจากพืช ผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ มีอยู่ทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นโรคก็คือคุณต้องรักษาร่างกายของ คุณให้สะอาด อย่าให้มีสารพิษตกค้างภายในร่างกาย ซึ่งที่สถานพยาบาลของผมก็มียามที่กินเพื่อไม่ให้สารพิษคั่งค้างในร่างกาย ยาตัวนี้มันจะดูดซึมสารพิษและระบายออกมา "

ท้ายสุดหมอเส็งได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับยาสมุนไพรว่า

" สมุนไพรของไทยเนี่ยยอดเยี่ยมมาก อย่างว่านชักมดลูกนี่ก็คือสมุนไพรตัวหนึ่งเชื่อไหมว่าสร้างผู้หญิงที่ไม่มี หน้าอกให้มีหน้าอกได้ หรือคนที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศพอกินตัวนี้อารมณ์ทางเพศก็จะกลับมาเป็นปรกติ มีข้อดีหลายอย่างเพียงแต่ว่าต้องผสมให้ถูกหลักและขอบอกอย่างหนึ่งว่า การใช้ยาสมุนไพรเช่น ฟ้าทะลายโจรที่ใช้แก้ร้อนใน แก้ไข้หวัด เราจะอาศัยฟ้าทะลายโจรตัวเดียวรักษาทุกโรคไม่ได้มันต้องมียาตัวอื่นๆแทรก เข้าไปด้วยจึงจะออกฤทธิ์ดี และใครบอกว่ายาสมุนไพรหายช้า ยาแผนปัจจุบันหายเร็วนั้น.....ไม่จริงหรอก ยาที่ถูกโรคเท่านั้นที่จะทำให้หายเร็ว เพราะฉนั้นชีวิตของผู้เจ็บป่วยทุกคนมีหวังนะครับ "

วิธีการตรวจแบบโบราณ " การแมะ "
การแมะอยู่คู่กับการแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคสมัยที่มนุษย์ยัง ไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย มนุษย์จึงต้องเรียนรู้ที่จะต้องสังเกตุธรรมชาติว่า ในยามที่ร่างกายผิกปกติจะมีอาการใดสำแดงออกมาให้เห็นหรือสัมผัสได้บ้าง การสูบฉีดโลหิต คือ รหัสลับสำคัญ ชาวจีนจึงสั่งสมความรู้มาอย่างยาวนานนับพันปีกลายเป็นศาสตร์การวินิจฉัยโรค ที่น่ามหัศจรรย์นี้

การแมะ คือ การตรวจจับชีพจร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง 6 ตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะทางร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้น
การแพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอนการวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า " เปี้ยนเจิง " มีทั้งหมดสี่ขั้นตอน การแมะหรือการตรวจจับชีพจรนั้นถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรคซึ่ง กว่าจะถึงขั้นตอนการแมะยังมีอีก 3 ขั้นตอนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันและมักจะถูกละเลยจนไม่ได้รับการกล่าว ถึง

ขั้นตอนที่ 1 คือ การสำรวจมอง ตรวจดูสีหน้า แววชีวิต ลักษณะอาการ ดูว่าสีหน้าซีดคล้ำหรือมีประกายสดใส เลือดฝาดสมบูรณ์หรือไม่ บริเวณอวัยวะต่างๆสีผิวเป็นอย่างไร เช่น ถ้าบริเวณส่วนหูดำคล้ำส่วนใหญ่มักเป็นโรคไต ถ้ารูปร่างผอมแห้งผิวคล้ำมักจะเป็นโรคปอด หรือถ้าบริเวณเยื่อตาเหลืองหรือแดงมักเป็นโรคที่เกี่ยวกับตับ เป็นต้น อีกประการหนึ่งคือ การวิเคราะห์ลิ้นซึ่งสำคัญมากต้องดูทั่วทั้งลิ้น สีสันของลิ้น คราบเมือกบนลิ้น ซึ่งจะบอกถึงสภาวะภายในของร่างกายได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนที่ 2 คือ การฟังและการสัมผัสกลิ่น ถ้าเสียงพูดของคนไข้เบา ช้าและเหนื่อย แสดงถึงพลังชีหรือพลังลมปราณที่อ่อนแอ การพูดเสียงดังฟังชัด การโต้ตอบที่ชัดเจนรวดเร็ว แสดงถึงพลังชีที่สมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้เสียงไอ เสียงกรน เสียงเรอ เสียงดังในท้อง กลิ่นตัว กลิ่นลมหายใจ กลิ่นปาก เหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคได้ทั้งสิ้น

ขั้นตอนที่ 3 คือ การถาม นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก การถามที่ละเอียดและแยกแยะตรงประเด็นจะทำให้ทราบข้อมูลการเจ็บป่วยถึง 60-70% ช่วยให้การวิเคราะห์โรคได้ผลมากยิ่งขึ้น เช่น ถามอาการเจ็บป่วย เหงื่อ การขับถ่าย อาการปวดหัว เสมหะเหนียวข้นหรือใส หายใจหอบเหนื่อยหรือไม่ ลักษณะของการมีรอบเดือน ประวัติการเจ็บป่วยของคนในบ้าน เป็นต้น
และขั้นตอนสุดท้าย คือ การแมะ โดยแพทย์จะใช้นิ้วชี นิ้วกลางและนิ้วนางของแพทย์ วางลงบนตำแหน่งของชีพจรของคนไข้บริเวณข้อมือฝังหัวแม่โป้ง สำหรับข้อมือซ้ายของคนไข้ ตำแหน่งที่นิ้วชี้ของแพทย์สัมผัสข้อมือของคนไข้เรียกว่า " ฉุ่ง " เป็นตำแหน่งที่ใช้ตรวจลักษณะอาการของหัวใจและลำไส้เล็ก ตำแหน่งนิ้วกลางของแพทย์เรียกว่า " กวง " ใช้ตรวจลักษณะอาการของตับและดีและตำแหน่งสุดท้ายเป็นตำแหน่งที่นิ้วนางของ แพทย์สัมผัสกับข้อมือของคนไข้เรียกว่าตำแหน่ง " เฉียะ " ใช้ตรวจลักษณะอาการของไตและกระเพาะปัสสาวะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น