ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน


วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน


“เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่เงินก็สามารถซื้อทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้บนผืนพิภพแห่งนี้ ”
พูด อย่างนี้ มิได้มีเจตนาบูชาเงินเป็นสรณะ แต่ถ้าคุณคิดว่าตนเองเป็นคนดี ถามว่า ถ้าเงินอยู่กับคนดีๆ มีอะไรเสียหายไหม วันหนึ่งคุณเกิดมีเหตุจำเป็นต้องใช้ หรือ อยากช่วยใครสักคน แล้วมีเงินอยู่ในมือที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ถามว่าดีไหม


เพียงแต่ว่า เงินก้อนนั้นต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจริยธรรม ไม่ไปเบียดเบียนใคร


เรา มักจะพูดกันว่า ถ้ามีเงินเป็นล้าน จะเป็นเศรษฐี ถามจริงๆว่า ถ้ามีเงินเพียง 1 ล้านบาทนับเป็นเศรษฐีได้จริงๆหรือ เดี๋ยวนี้ 1 ล้านบาทไม่พอซื้อบ้าน ไม่พอซื้อรถยี่ห้อแพงๆ , ไม่พอรักษาโรคร้ายแรง เงิน 1 ล้านบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย ในบทความนี้ จึงตั้งสมมติฐานว่า เศรษฐีควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ไปจี้ไปปล้นใครมา

1.เป็นเจ้าของกิจการ
ใครๆ ก็รู้ว่า เป็นเถ้าแก่จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สถิติพบว่าธุรกิจเปิดใหม่ จะล้มหายตายจากไปในปีที่สองถึง 70 % และจะอยู่อย่างยั่งยืนเกิน 10 ปีได้เพียง 3-5 % เท่านั้น แต่ผู้คนทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจกันไม่เว้นแต่ ละวัน อย่างน้อยก็ขอลองสักตั้ง ไม่ว่าจะเสี่ยงเพียงใด มาดูว่าเจ้าของธุรกิจ ทำเงินกันอย่างไร

สูตรที่มักจะใช้อธิบายกำไรของเจ้าของธุรกิจคือ
ยอดขาย – ต้นทุนคงที่ – ต้นทุนแปรผัน = กำไร

เพื่อ ทำให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจหนึ่งหากมียอดขายต่อเดือนที่ 1 ล้านบาท มีต้นทุนคงที่ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผัน 200,000 บาท ดังนั้น หากเจ้าของธุรกิจอยากมีกำไร เขาต้องผลักดันยอดขายให้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ถ้ายอดขายต่ำกว่า 1 ล้านบาทจะขาดทุนทันที

เช่น ถ้ายอดขาย 1,500,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาทคงเดิม ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 1.5 เท่าของเดิม ซึ่งเท่ากับ 300,000 บาท เดือนนั้นจะกำไร 1,500,000 - 1,100,000 = 400,000 บาท


แต่ ถ้า ยอดขายเป็น 3,000,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 3 เท่าซึ่งเท่ากับ 600,000 บาท เดือนนั้นจะมีกำไรเท่ากับ 3,000,000 บาท – 1,400,000 = 1,600,000 บาท


ใน ทำนองกลับกัน ถ้ายอดขายตกลงมาเหลือ 500,000 บาทต้นทุนคงที่ยังคงเท่ากับ 800,000บาท ต้นทุนแปรผันอาจลดลงครึ่งหนึ่งของเดิมเท่ากับ 100,000 บาท เดือนนั้นจะมียอดขาดทุนเท่ากับ 500,000 - 900,000 = 400,000 บาท


ตัว เลขข้างต้นเป็นตัวเลขสมมติคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งในชีวิตจริงจะซับซ้อนกว่านี้ และแต่ละธุรกิจก็มีสัดส่วนของตัวเลขต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันแตกต่างกันไป


แต่ ก็ทำให้เราเข้าใจว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น รวยเร็ว และ เจ๊งเร็ว พอๆกัน ขึ้นกับฝีมือ ขึ้นกับความต้องการของตลาด ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง


หาก สร้างธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะร่ำรวยเงินไหลมาเทมา โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงิน 10 ล้านบาทจึงเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเถ้าแก่เหล่านี้


ปัจจุบัน พบว่า มีเถ้าแก่หัวหมอที่ต้องการรวยลัดยิ่งๆขึ้น เขาใช้วิธีสร้างธุรกิจแล้วขายต่อทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะได้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีส่วนกำไร


ถ้าสร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนมั่นคงแล้วขายต่อ คงจะไม่มีใครว่าอะไร เพราะอยู่ในกรอบ อยู่ในเกณฑ์


แต่ ถ้าใช้วิธีสร้างข่าว สร้างภาพให้หุ้นตัวเองด้วยการเทคโอเวอร์ , ขอสัมปทาน , ปั้นสารพัดโปรเจค์ขึ้นมาขายฝัน แล้วขายออกเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง


คน ขายรับเงินล่วงหน้าของประมาณการยอดขาย สิทธิสัมปทาน และ ค่านิยม( GOOD WILL )ต่างๆ ที่ตอบสนองไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้คนซื้อไปรับความเสี่ยงแทน ว่ารายได้ในอนาคตจะได้ตามที่นักวิเคราะห์ขายฝันให้หรือเปล่า


2.เป็นนักบริหารระดับสูง

สมัย ก่อน พวกเถ้าแก่มักจะพูดสอนลูกหลานว่า เวลาเรียน ไม่ต้องเรียนสูงนัก พอให้จบปริญญาตรีแล้วมาทำการค้าจะร่ำรวยกว่า พวกที่เรียนสูงจบด๊อกเตอร์ สุดท้ายก็ไปเป็นลูกน้อง รับจ้างบริหารให้พวกเถ้าแก่ รับค่าจ้างเดือนละ 80,000 - 100,000 บาท แต่ไม่รวย


สมัย นี้ เราดูถูกนักบริหารมืออาชีพไม่ได้เสียแล้ว หากมีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากเถ้าแก่หรือผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทแล้ว เขาจะสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ


รายได้ขนาดนี้มาได้อย่างไร


บริษัท ใหญ่ๆระดับประเทศ การที่ผู้บริหารสูงสุดจะมีเงินเดือนๆละ 500,000 - 1,000,000 บาท ไม่ใช่เรื่องแปลก และยิ่งถ้าได้เป็นกรรมการบริษัทในเครืออีก 4-5 แห่ง จะได้รับเบี้ยประชุมแห่งละ 300,000 - 500,000 บาทต่อปีทีเดียว


บางบริษัท ใช้วิธีตั้งโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรให้ตามยอดขาย ถ้าหากว่าสามารถทำผลงานได้ตามเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู บริษัทใหญ่ๆต่างสร้างสถิติยอดขายสูงสุดใหม่ ทำให้ผู้บริหารร่ำรวยไปตามๆกัน หลายคนได้โบนัส 3-5 ล้านบาท โดยไม่คาดฝัน


อีก ช่องทางที่สร้างรายได้เป็นกอบกำให้ผู้บริหารคือ ESOP ( EMPLOYEE STOCK OPTION PLAN ) ที่กรรมการบริษัทมักจะลงมติมอบสิทธิในการซื้อหุ้นให้กับผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เพื่อจูงใจให้สร้างกำไรให้บริษัท ปรากฏว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า 70 % มักมอบให้กับผู้บริหาร 5 -10 คนแรกของบริษัท บางคนได้สิทธิจองซื้อถึง 10 ล้านหุ้น ลองนึกภาพดูว่า หากสามารถผลักดันกำไร จนทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือราคาใช้สิทธิสัก 5-6 บาทต่อหุ้น เขาจะทำกำไรได้คนละ 50-60 ล้านบาททีเดียว


นักบริหารมืออาชีพจึงเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามไม่ได้


3.เป็นนักขายตรง


คน ไทย มักรังเกียจอาชีพงานขาย ดูถูกว่าต่ำต้อย ขณะที่ฝรั่งเขามองว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะและใช้ความสามารถสูง เราจึงพบว่า ผู้บริหารของบริษัทฝรั่งหลายคนมักมีพื้นฐานเป็นนักขาย หรือ อยู่ฝ่ายขายมาก่อน


งาน ขายตรง ไม่ว่าประกันชีวิต เครื่องสำอางค์หรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30 % ไม่ว่าจะเป็นการขายครั้งแรกหรือเมื่อขายซ้ำ ยกเว้นขายประกันชีวิตที่จะได้มากในปีแรก


ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30 % ของค่านายหน้าของลูกทีม ซึ่งน่าจะตกประมาณ 10 % ของยอดขาย


ลอง นึกภาพดูว่า ถ้าทีมงานขายนั้นสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว หรือ ตัวนักขายเองหากขยันพบลูกค้าจนสามารถทำยอดขายได้ 10 ล้านบาทต่อปี เขาก็สามารถมีรายได้ 3 ล้านบาทต่อปีได้เช่นกัน


4.เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ


เรา คงเคยได้ยิน เรื่องแพทย์เฉพาะทาง , ทนายความผู้เชี่ยวชาญ , สถาปนิกผู้โด่งดัง ที่สามารถทำเงินได้ปีละ 5 -10 ล้านบาท บางคนสามารถเรียกค่าปรึกษาเป็นนาที ตั้งราคาตามที่ตนเองพอใจ คนเหล่านี้ย่อมเป็นเศรษฐีได้ตามปรารถนา


ที่ เล่ามา เป็นกลุ่มหลักๆที่พอจะประมวลมาได้ว่า เป็นช่องทางที่คนทั่วไปจะมาดมั่นขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ ด้วยมือเปล่า ขณะที่บางอาชีพทำให้ตาย ขยันอย่างไร ก็ไม่มีทางรวย


แต่ คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า ทุกกลุ่มที่พูดมาทั้งหมด มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต้องขยันมุ่งมั่นและอดทนอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุความสำเร็จ


ว่าแต่ว่า คุณมีคุณสมบัตินี้แล้วหรือยัง ถ้ามี เงินล้าน เงินสิบล้าน ก็รอเป็นรางวัลชีวิตให้คุณได้เหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น